"ความปิติสุข อิ่มเอิบใจ"
มีและเกิดขึ้นได้
ทุกที่ ทุกสถาน ทุกเวลา ทุกขณะ
เพียงแค่เรา
เข้าใจในสัจธรรมแท้
มี
"ธรรมะ"
เพื่อช่วยให้เราเข้าใจโลก
อยู่กับโลกอย่างเข้าใจในสัจธรรม
"สัมพันธ์ุอย่างไม่ผูกพันธุ์"
ธรรมะในชีวิตประจำวัน
นี้แหละคือสนามธรรมจริง
วัดได้จริง
เพราะโดนกระทบจริง
"เห็นทุกข์ รุ้ทุกข์ แต่ไม่ทุกข์"
รุ้เท่าทันสิ่งกระทบ แล้วปล่อยวาง
ด้วยจิตที่นิ่ง
สงบ ไม่หวั่นไหว ไม่ให้ค่า สักแต่ว่า
ในทุกกรณี
ขณะต่อขณะ
ความอิสระจากผัสสะ
คือความอิสระจากกรรม
จงอยู่เหนือผัสสะที่เข้ามากระทบ
จงยุติกรรม ไม่เข้าสู่ขบวนการของบ่วงกรรม
แล้วจะพ้นภัยทั้งปวงจะได้ไม่เวียนมาใช้กรรม
อย่างไม่มีวันจบสิ้น
ซึ่งธรรมก็คือธรรมชาติ
ที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา
เราอยู่ในทุกสรรพสิ่งในทุก
สรรพสิ่งนั้นมีเรา ...
กาย
เวทนา
(ความรุ้สึก)
จิต
(ความคิด)
แล้ว
ก็ธรรม
(ธรรมชาติ)
อย่างหลังก็หมายถึงการรับรู้ความเป็นไป
ของธรรมชาติรอบๆตัว
ธรรมชาติประกอบด้วยไตรลักษณ์
ตัวเราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ..
เวลาเราฝึกสติปัฎฐาน
ส่วนมากจะเห็นว่า
เราไม่ค่อยเน้นสติปัฎฐานคือ
ธรรม (ธรรมชาติ) ตรงนี้
ไปเน้นแต่
กาย เวทนา จิตกันเกือบหมด
"กาย เฝ้าพิจารณากายกัน"
"เวทนา เฝ้าพิจารณา ความรุ้สึกกัน"
"จิต เฝ้าดูอาการของจิตกัน"
แต่
"ธรรม"
กลับพยายามแยกตนเอง ออกจากธรรมชาติ
ทั้งที่ตนเองก็เป็นธรรมชาติที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
ในเขามีเรา ในเรามีเขา
เราอยุ่ในทุกสรรพสิ่ง
ในทุกสรรพสิ่งมีเรา
ดักดาน สาละวน อยุ่แต่กับ กายและจิต
มันก็เลย
"คา"
อยุ่ที่ปฎิบัติ แบบใช้กรรมไม่สิ้นสุด
แล้วจะจบภพชาตินั้นไปได้เช่นไร
"จงมีปัญญาเป็นที่พึ่ง จะนำพาให้ผ่านพ้นทุกสิ่ง"
น้อมจิตกราบสาธุการในธรรมที่
อาม่า
"พระเชนเรซิก"
ได้โปรดแสดงธรรมนี้เพื่อโปรดให้ลูกได้เข้าใจ
แจ่มแจ้ง ชัดเจนในสัจจะแท้นี้อย่างที่สุดเจ้าค่ะ
น้อมกราบสาธุการ สาธุ สาธุเจ้าค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น