วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

อะไรหรือที่นอกเหนือไปจากจิต



มีอะไรหรือลูก ที่นอกเหนือไปจากจิต 
เพราะความจริงแห่งธรรมชาติมีอยู่ 2 ส่วน
1. อสังขตธาตุ(ความว่าง) 
หรือ อสังขตธรรม(นิพพาน)
สิ่งนี้มันมีอยู่ก่อนแล้ว
หาจุดเริ่มต้นไม่ได้ หาจุดสิ้นสุดไม่ได้

ศาสนาอื่นๆเรียกว่า "พระผู้เป็นเจ้า"
2. สังขตธาตุ หรือ สังขตธรรม 
คือสสารและพลังงานที่ มันเปลี่ยนรูปกลับไปกลับมา
เช่น คน สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา 
และทุกสรรพสิ่งที่บัญญัติให้ค่าและตั้งชื่อขึ้นมา
ผู้ที่ทำให้เกิด สสารและพลังงาน 
ในทางเถรวาท 
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ความคิดปรุงแต่ง หรือจิตสังขาร เป็นต้นกำเนิดสังขตธาตุ
ในทางมหายาน 
พระองค์บอกชัดเจนยิ่งกว่า 
ทรงตรัสว่าจิตพุทธะ(พระเจ้า) 
ในตัวเรามันเล่นเกมส์ค้นหาตัวเองอยู่

**สสารและพลังงาน พุทธศาสนาเรียกว่า รูปและนาม***
พระเจ้าที่แท้จริงก็คือ สิ่งที่ไม่มีกิเลส ตัณหา 
ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ = อสังขตธาตุ(ความว่างหรือนิพพาน)

ดั่งคำตรัสที่ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 
ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ 
นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ 
นี้เรียกว่า อมตภาพ......"
ภิกขุสูตร ที่ ๒ มหา. สํ. (๓๑-๓๒)
....................................................................
นิพพานจึงไม่ต้องทําให้เกิดขึ้น หรือสร้างขึ้นแต่อย่างใด 
เพราะไม่ได้เกิดแต่เหตุปัจจัย

หาก...เพียงแต่
เป็นการนําเหตุปัจจัยอันทําให้จิตหม่นหมองนั้นออกไป
หมายถึงจิตเดิมแท้ๆนั้นบริสุทธิ์อยู่แล้ว 
.................................................................
ดังนั้น...
การปฏิบัติใดๆ ที่เป็นการก่อ หรือสร้างสมสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เช่น

สมาธิ ฌาน ถือศีล ทําบุญ อิทธิฤทธิ์ ทรมานกาย 
จึงยังไม่ใช่หนทางการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
หากเป็นอุบาย บาทฐานหรือขุมกําลัง
เพื่อเป็นขั้นบันไดในการสนับสนุน
การปฏิบัติในขั้นปัญญาเท่านั้น
"คนเราบริสุทธิ์ด้วย ปัญญา"
ที่มองเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง
อสังขตธาตุ มันสร้างรูปและนาม 
หรือสังขตธาตุ (สสารและพลังงาน)ขึ้นมา
*****จากการคิดปรุงแต่งของสรรพจิต***
ทุกอย่างล้วนเป็นมายาของความว่างเปล่าทั้งสิ้น
พวกเราเหล่ามนุษย์ล้วนอยู่ในความฝันที่เหมือนจริงของตนเอง
ด้วยเหตุนี้ อาม่าจึงสรุปให้ลูกๆ ทุกคน 
ปฎิบัติอะไรมา เดินทางมาเท่าไหร่
จงมาสรุปลงที่ "ความไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง"
โดยยังทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ งดงาม ตามเหตุปัจจัย
#อาม่า..พระเชนเรซิก#

จิต มันมีอารมณ์เสมอ เพราะเป็นธรรมชาติของมัน

แต่เมื่อจิตรู้สึกต่ออารมณ์ 

เราไม่เข้าไปหยิบฉวยว่าเป็นอารมณ์ของเรา
......เรียกว่า "จิตว่าง".......

ถ้าจิตไม่มีอารมณ์ มันก็ไม่ใช่จิต
จิตสะอาด จิตสกปรก 
จิตวุ่นวาย จิตสงบ
ก็เป็นเรื่องธรรมชาติของจิตเขา

ไม่ต้องไปบังคับ กดข่ม ดีใจ เสียใจ ว่ามันไม่เป็นดังหวัง

นี่..เรียกว่าจิตว่างที่ถูกต้อง

ส่วนที่พยายามบังคับให้จิตสงบ
ว่างจากอารมณ์นั้น
...........เรียกว่า "จิตวุ่น"..

555555+

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปิดพลังแห่ง ความสุข.............

การให้เกียรติสิ่งรอบตัวถือเป็นการเปิดพลังแห่งทัศนคติใหม่ และยังเสริมการมองเห็นทัศนวิสัย ให้ก้าวสู่โลกที่มีคุณค่า และนอกจากนี้ยังทำให้คุณตื่นขึ้นมาเห็นความจริงรอบตัว ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็น และรับรู้คุณค่าของสิ่งรอบตัวเรา หรือสังคมของเรา แล้วเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ควรรัก รักในสิ่งที่ให้ความรู้สึกดีๆที่ตอบแทนมาอย่างมีคุณค่าจริงๆ มันจะช่วยฉุดดึงให้คุณหลุดออกจาก อดีตที่เจ็บช้ำหรือแม้แต่ความยึดติดใดๆก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งรอบตัวบางอย่างหรือหลายๆอย่างนั้น คุณอาจไม่เคยแยแส แม้แต่ก่อนที่จะพบเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ
คำว่า “การให้เกียรติ” คำๆนี้คือวิถีคือครรลองที่สังคมของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงในทางโลก ย่อมที่จะพัวพันกับภาวะของการให้เกียรติอยู่กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้เกียรติต่อ บุคคล ให้เกียรติต่อสัญลักษณ์ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ ให้เกียรติต่อสิ่งที่ยึดถือ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีบุญคุณ ในชีวิตเราและชีวิตท่านวันนี้คุณให้เกียรติคนที่คุณ "เกลียดชัง" พวกเขาแล้วหรือยัง.......

" โลกนี้จะร่มเป็นสุข อยากให้โลกนี้ดีงาม ให้เริ่มต้นที่ ใจ ตนเองเป็นอันดับแรก "

Glitter Photos

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์