เมื่อใดเล่า เธอจะข้ามพ้น
"ทวิภาวะ ธรรมคู่ทั้งปวง"
แล้วกลับคืนสู่ธรรมชาติเดิมแท้จริงๆกันเถิด
เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสังสารวัฏ
เหนือนิพพานกันเสียที
"ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้เข้าถึงแล้วซึ่ง อวิชชา
(ความเห็นผิดๆ)
ถ้าเขาปรุงแต่งสังขารอันเป็นบุญ
วิญญาณก็เข้าถึงวิบากอันเป็นบุญ(ภูมิเทวา)
ถ้าปรุงแต่งสังขารอันมิใช่บุญ
วิญญาณก็เข้าถึงวิบากอันไม่ใช่บุญ(อบายภูมิ)
ถ้าปรุงแต่งสังขารอเนญชา(สมาบัติอรูปพรหม)
วิญญาณก็เข้าถึงวิบากอเนญชา(พรหมภูมิ)
..................
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอวิชชาละได้แล้ว
การเกิดขึ้นของวิชชา(ความเห็นที่ถูกต้อง)
ย่อมไม่ปรุงแต่งอภิสังขาร
อันเป็นบุญ, ไม่ใช่บุญและ อเนญชา
....................................
เมื่อไม่ปรุงแต่ง(บุญ-บาป)
เธอย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งใดๆ ในโลก ไม่สะดุ้งหวาดเสียว
เธอย่อม "ปรินิพพาน" เฉพาะตนนั่นเทียว
เธอย่อมประจักษ์ว่า
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อันเราอยู่จบแล้ว กิจควรทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้.....ไม่มี!!!
ถ้าคิดว่า
ตัวเอง ไม่เอาอะไรแล้ว
ตัวเองปล่อยวางได้แล้ว
ตัวเองไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว
นี่คือ
"มิจฉาญาน"
เพราะยังมีความคิดว่าตนปฎิบัติ ตนหลุดพ้น
ก็ยังอยู่ในภาวะการ...มีอยู่
เมื่อยังมีตนอยู่ ก็ต้องมี การมาการไป
หากแต่ที่สุดแห่งพรหมจรรย์นั้น
ไม่มีการมาการไป
พระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านไปกันแล้วก็จริง
ไปน่ะไปจริง
แต่ไม่ได้
"ไปต่อ"
ท่านหมด ตัวตน ที่จะไป ต่างหากล่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น