วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
พระโพธิสัตว์รู้เท่าทันเรื่องของมาร แต่ก็สำแดงตนเข้าพัวพันกับมาร
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
เพื่อ..รักแล้ว พระโพธิสัตว์เป็นได้ทั้งเทพทั้งมาร โปรด....และปราบ ในภารกิจเดียวกัน
เพื่อ..รักแล้ว พระโพธิสัตว์เป็นได้ทั้งเทพทั้งมาร โปรด....และปราบ ในภารกิจเดียวกัน |
ศาสนาของข้าพเจ้า คือธรรมชาติ วิหาร วัด ของข้าพเจ้า คือโลกใบนี้ |
การที่เราจะสอนใครหรือช่วยใครก็แล้วแต่ เราอย่าเอาจิตไปจดจ่อกับบุคคล หรือผลของมัน
ลูกจะทุกข์
ทุกข์เพราะ
"ยึดดี"
เป็นทุกข์ที่ พระโพธิสัตว์ของพ่อต้องข้ามผ่านให้ได้
วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
อั้วะไม่ได้มีพวกลื้อ เพื่อให้มาเดินตามหลังอั้วะ
การประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์ ใช้สัญลักษณ์ ซึ่งให้ค่าได้เพียงอุปายะหนึ่ง
การประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์ ใช้สัญลักษณ์ ซึ่งให้ค่าได้เพียงอุปายะหนึ่ง |
- การประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์ของอาม่าทำให้หลายคนที่จิตใจคับแคบและยังมีภูมิปัญญาต่ำเกินจะหยั่งมรรคาแห่งโพธิสัตว์ รู้สึก"หมั่นไส้"
- เขาไม่รู้ว่า อาม่าจำเป็นต้องประกาศ
- ใช้สัญลักษณ์ ซึ่งให้ค่าได้เพียงอุปายะหนึ่ง
- เพื่อรวบรวมลูกหลานที่ยังตามหากันไม่เจอ
- ได้ตามหากันจนเจอและปลุกโพธิจิต
- แต่มรรรคาแห่งอาม่านั้น
- เป็นโพธิสัตว์โดยมิได้.....เป็น
- ท่องเที่ยวไปโดยมิได้ท่องเที่ยว
- และกระทำโดยไม่ได้กระทำ(อุปายะล้วนๆ)
- ในการฝึกฝนจิตของพระโพธิสัตว์ ไม่มีแม้นาทีเดียวที่จะแยกขาดจากสังสารวัฏได้
- การเกิดและการตายในสายตาพระโพธิสัตว์มีคุณค่า และเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ไม่ประมาทในการในการทำความรู้จักตนเอง
- ความตายทำให้คนรู้จักธรรม
- เพราะการเกิดการตายมีคุณค่า
- พระโพธิสัตว์จึงสนใจเรื่องกรรมและการเกิดใหม่
- พระโพธิสัตว์คุ้นเคยและหยั่งเห็นสัมผัสทุกข์ของปวงสัตว์จำนวนมาก ก่อให้เกิดความปรารถนาจะปลดปล่อยทั้งตนเองและผู้อื่นพ้นจากวงจรเวียนว่ายตายเกิดนั้น
- ความหมายและคุณค่าของโพธิจิต คือการมองเห็นว่า
- "ไม่มีอะไรถูกผลักไส หรือน่าชิงชังรังเกียจเลย"
- ดังนั้น กรรมฐานของพระโพธิสัตว์จึงลึกซึ้งเกินที่บุคคลทั่วไปจะหยั่งถึง เพราะพระโพธิสัตว์ทำหน้าที่ตนเต็มความสามารถเต็มกำลังก็จริงอยู่
- ***หากแต่เป็นเรื่องเหตุปัจจัยตามปนิธาน
- ไม่มีข้อผูกพันระหว่างตัวตน
- ไม่มีผู้ให้และไม่มีผู้รับ
- ไม่มีผู้อยู่เหนือและผู้อยู่ต่ำ
- ไม่มีความดีและผลแห่งความดีที่คาดหวังไว้ล่วงหน้า
- หากยังมีตัวตนในกระบวนการโปรด
- ผูกพันความคิดระหว่างตนและผู้อื่น
- ก็จะมีตนเองสำหรับทำงานสำเร็จหรือล้มเหลว
- สำเร็จก็ยินดีล้มเหลวก็เสียใจ
- ภาวะนี้ เป็นภาวะที่พระโพธิสัตว์ตัองข้ามผ่าน
- เหตุผลในความจริง คือไม่มีภาวะโพธิสัตว์ สรรพสิ่งทั้งปวงย่อมปราศจากอัตตา แก่นสาร ตัวตนที่แบ่งแยก
- สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพียงชื่อบัญญัติ
- แม้แต่คำว่าโพธิสัตว์ก็เป็นเพียงแค่..นาม
- และต้องมองให้เห็นด้วยว่าไม่ได้แยกขาดจากสิ่งใด ไม่ใช่ตัวตนที่เป็นอิสระ
- หยั่งให้เห็นการอิงอาศัยซึ่งกันและกัน(อิทัปปัจจยตา)ก็จะทำหน้าที่ด้วย เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา(วางเฉยต่อทุกปรากฏการณ์ได้)
- ปัญญาญานลักษณะนี้ จะทำให้การทำหน้าที่ราบรื่นและเสมอภาค และหยั่งสู่ความว่างตลอดเส้นทาง
- เส้นทางที่ราบไร้ ปราศจากการมาการไป
หน้าที่ ...อันยิ่งใหญ่ |
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
ปฎิบัติไปเพื่ออะไร
ตราบใดที่ลื้อยังมีขันธ์5 ลื้อก็ต้องทำมาหากินเพื่อหล่อเลี้ยงขันธ์ ให้ดำรงอยู่ได้ (มิใช่เพิกเฉยต่อการงาน)
เพื่อยกจิตลื้อให้เป็นกลางเหนือความยึดและความปล่อยวาง สมดุลในชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
พุทธะนั้น ไม่มา ไม่ไป ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หมองมัว นั้นแหละ "โคตระ ปัทมะ"
ต้นตระกูลเรา คือ "ปัทมะ" (ดอกบัว)
และดอกบัวนั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มหรือลดอะไรอีก
เขาพร้อมจะเป็น หน่อเนื้อพุทธางกูรเสมอ
ให้ทุกสรรพจิต ดำรงในพรหมวิหาร4
ตั้งมั่นในความ กตัญญูกตเวที
ขึ้นตรงต่อพระรัตนตรัย
มนุษย์นั้น ต้องมีศีลธรรม จริยธรรมอันดีงามเป็นบาทฐานเสียก่อนจึงก้าวสู่ถนนพระโพธิญานได้
เพราะการตระหนักถึงความจริงสูงสุดจะทำให้มนุษย์ทำหน้าที่นั้นๆอย่างไม่ทุกข์และเร่าร้อน
"ให้เขาเห็นความเชื่อมโยงทั้งโลก"(อิทัปปัจจยตา)
เขาจะมีสติปัญญามากขึ้น
เขาจะไม่ถูกต้อนให้จนมุมด้วยปัญหาเล็กๆน้อยๆ
และชีวิตที่ผิดพลาดน้อย จะมีทัศนะชีวิตทีมีความสุขขึ้น ลึกซึ้งขึ้น แก้ไขปัญหาใดๆได้ดีขึ้น
คือดับสิ้น ในการคิดให้ค่าบัญญัติญัติใดๆ
"นิพพานไม่ใช่สภาวะที่จะบรรลุถึงเมื่อพวกเขาตาย"
(คือการรู้เท่าทัน ไม่ใช่ไม่คิด)
ไม่ทิ้งสมมุติและรู้เท่าทันสมมุติ
หน่อเนื้อพุทธางกูรอันเป็นต้นตระกูลของเรา
หนึ่งในวิชาของพระโพธิสัตว์ คือ"พลังเคลื่อย้ายจักรวาล
หนึ่งในวิชาของพระโพธิสัตว์ คือ"พลังเคลื่อย้ายจักรวาล"ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายกรรมสรรพสัตว์ได้
แสดงปฐมเทศนาก็ดี
ทรงปรินิพานก็ดี
ก็จะหลวมรวมกับมหาโพธิสัตว์และองค์พุทธะได้
มหาสมุทรลึกล้ำทั้งปวงยังหยั่งได้
แต่ภูมิธรรมพระโพธิสัตว์นั้น
อันปราศจากการมา การไป จนเจนจบ
นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรกของเราหรอกลูก กี่ภพ...กี่ชาติ "เราก็ข้ามเวลามาพบกัน"
ในยามหัวเราะก็หัวเราะด้วยกัน
มันเป็นพันธสัญญาพันธกิจที่เชื่อมต่อมานาน
แต่หมายถึงอเนกอนันตชาติที่ผ่านมาและกาลข้างหน้าอีกด้วย
แม้การจอดรถเก็บตะปูบนถนน
แม้การหยอดเหรียญ ให้ขอทาน และอื่นๆ
โพธิจิต คือจิตที่มุ่งหวังความรู้แจ้ง การตรัสรู้
อาม่าจะชี้ทางให้เจ้า ในการค้นหาโพธิจิต
ก็เพื่อสร้างบารมีที่ยิ่งใหญ่
แค่คุยแชท คุยโทรศัพท์ หรือคุยไลน์หรือมาพบอาม่า จะน้ำตาไหล ตัวสั่น ปิติตื้นตัน
ทำไมผมถึงร้องไห้ ทำไมหนูถึงร้องไห้
ทำไมถึงรักอาม่า
ทำไมเจ็บป่วยทรมานจึงเรียกหาอาม่าให้ช่วยด้วย
ที่ปิติตื้นตัน เขาไม่มีเหตุผลให้เราหรอก
เพราะเขาแค่...รอคอยและตามหามานาน
"เราก็ข้ามเวลามาพบกัน"
ผู้บรรลุ ผู้ไม่บรรลุ สิ่งที่บรรลุ ล้วนมายา จิตธรรมดา หรือจิตตรัสรู้ ล้วนมายาเท่าเทียมกัน
ตัวตนเป็นเหมือนคลื่น
ย่อมมีต่ำสูง อ้วนผอม แรงหรือเบา
เพราะธรรมชาติที่เชื่อมโยงอันไร้ขอบเขต
ทั้งที่ความจริงก็ต่างเป็นน้ำทุกเกลียวคลื่นนั่นแหละ
จำเป็นหรือ ที่คลื่นต้องตาย แล้วจึงจะกลายเป็น"น้ำ"
อยู่บนพื้นฐานแห่งการไม่เกิดไม่ตายอยู่แล้ว (ความเป็นน้ำ)
หรือ หมดอุปาทานไม่มีการเกิดตายก็ตาม
จิตธรรมดา หรือจิตตรัสรู้ ล้วนมายาเท่าเทียมกัน"
ทั้งคนทั้งจิต ทั้งนิพพาน ทั้งสังสารวัฎ ล้วนเป็นความว่างที่เสมอเท่ |
วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
สื่อธรรมท่านปรมาจารย์ตั้กม้อ ท่ามกลางผืนทราย
สาธุทุกท่านที่จิตเปิดค่ะ |
- สื่อธรรมท่านปรมาจารย์ตั้กม้อ ท่ามกลางผืนทราย จาก"จิตสู่จิต" โดยสหธรรมมิก ผู้สูงด้วยโพธิจิต และสว่างด้วยธรรม
- ทุกคน ชะงักงันด้วยความเงียบ จิตเปิดสื่อกันด้วยใจต่อใจ ไร้สิ่งปรุงแต่แม้"คำ"ที่เป็นเพียงสมมุติบัญญัติ
- ธรรมชาติซักฟอกธรรมชาติโดยตัวมันเอง
- สายลม แสงแดด เกลียวคลื่น
- เรา เขา สัตว์ บุคคลไม่มี ณ เวลานั้น
- มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ
- ดั่งคำกล่าวที่ว่า....
- มหายาน เป็นยานใหญ่ที่สุดกว่ายานทั้งปวง มันเป็นยานพาหนะของพระโพธิสัตว์
- ผู้ซึ่งใช้ทุกสิ่งโดยไม่ต้องใช้สิ่งใด !
- และผู้ท่องเที่ยวไปทุกวันโดยไม่ต้องท่องเที่ยว !
- ยานเช่นนั้นเป็นยานของพระพุทธเจ้าด้วย.
วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
การปฎิบัติธรรมมิใช่การออกจากสังคม มิใช่การหลีกหนีสังคม
ชอบภาพนี้ พระองค์ท่านยิ้ม เมื่อลูกๆมากราบ |
- เมื่ออาม่าแสดงธรรม"ตถตา"บนผืนทราย
- โดยการชูกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วตั้งคำถามกับลูกๆว่าเห็นอะไร
- การปฎิบัติธรรมมิใช่การออกจากสังคม มิใช่การหลีกหนีสังคม
- แต่เป็นการเตรียมพร้อมที่จะกลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง
- เราเรียกการปฏิบัติเช่นนี้ว่า "พุทธศาสนาที่ครอบคลุมทุกมิติของชีวิต"
- เมื่อเราไปปฏิบัติธรรมเราอาจจะมีความรู้สึกว่าเราได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง อันได้แก่ครอบครัว สังคม ตลอดจนสิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวเนื่องกับครอบครัวและสังคมด้วย
- แล้วคิดว่าเรามาในฐานะปัจเจกบุคคล เพื่อปฏิบัติและแสวงหาความสงบ
- ความเข้าใจเช่นนี้ก็นับเป็นโมหะอย่างหนึ่งเพราะในพุทธศาสนาไม่มีสิ่งที่เป็นปัจเจกบุคคล
- ดังเช่นกระดาษแผ่นหนึ่ง คือ ผลพวงและองค์ประกอบจากปัจจัยหลายๆ สิ่ง
- สายตาพระโพธิสัตว์ก็จะเห็นได้แจ่มชัดว่า มีเมฆก้อนหนึ่งกำลังลอยเลื่อนอยู่ในกระดาษแผ่นนี้
- ปราศจากก้อนเมฆ ก็จะไม่มีน้ำ ปราศจากน้ำ ต้นไม้ก็ไม่สามารถงอกงามได้และปราศจากต้นไม้ ก็ไม่สามารถทำกระดาษได้ ดังนั้นก้อนเมฆจึงอยู่ในที่นี้
- การปรากฏอยู่ของกระดาษแผ่นนี้
- ขึ้นอยู่กับการปรากฏอยู่ของก้อนเมฆ
- กระดาษและก้อนเมฆสัมพันธ์แนบเนื่องกันเหลือเกิน
- แสงอาทิตย์เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะป่าไม้ไม่สามารถงอกงามได้โดยปราศจากแสงอาทิตย์ และมนุษย์เราก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้โดยปราศจากแสงอาทิตย์
- ดังนั้น คนตัดไม้ซุงต้องการแสงอาทิตย์ เพื่อจะได้ตัดต้นไม้ และต้นไม้ก็ต้องการแสงอาทิตย์เพื่อการเป็นต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราสามารถแลเห็นแสงอาทิตย์ในกระดาษแผ่นนี้
- และหากเรามองลึกลงไปยิ่งกว่านี้
- ด้วยแห่งสายตาแห่งโพธิสัตว์คนหนึ่ง
- ด้วยสายตาของคนผู้ตื่นรู้แล้ว
- เราจะแลเห็นว่าไม่เพียงก้อนเมฆและแสงอาทิตย์เท่านั้น ที่ปรากฏอยู่ในกระดาษแผ่นนี้
- แต่ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏอยู่ในที่นี้ด้วย เช่น ข้าว ปลา ผัก ผลไม้ ซึ่งแปรสภาพเป็นอาหารของคนตัดไม้ซุง
- ยังพ่อของคนตัดไม้ซุงอีกเล่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในกระดาษแผ่นนี้
- เราไม่สามารถชี้ระบุได้เลยว่า สิ่งใดไม่มีความสัมพันธ์กับกระดาษแผ่นนี้ ดังนั้นเราจึงกล่าวว่า
- "กระดาษแผ่นหนึ่งสร้างขึ้นด้วยปัจจัยซึ่งไม่ใช่กระดาษ"
- ก้อนเมฆเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่กระดาษ ป่าไม้เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่กระดาษ แสงอาทิตย์เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่กระดาษ
- กระดาษแผนนี้สร้างขึ้นด้วยมวลปัจจัยซึ่งไม่ใช่กระดาษ
- จนกระทั่งว่าหากย้อนกลับคืนสู่ปัจจัยซึ่งไม่ใช่กระดาษ ไปสู่แหล่งเดิมของสิ่งเหล่านั้นแล้ว
- กล่าวคือ คืนก้อนเมฆสู่ท้องฟ้า คืนแสงอาทิตย์สู่ดวงตะวัน คืนคนตัดไม้ไปสู่พ่อของเขา
- ดังนี้แล้วกระดาษย่อมเป็นสิ่งว่างเปล่า
- ว่างเปล่าจากอะไรหรือ?
- ว่างเปล่าจากตัวตนหนึ่งซึ่งแยกขาดจากสิ่งอื่น
- ตัวตนย่อมประกอบขึ้นด้วยปัจจัยทั้งมวลซึ่งไม่ใช่ตัวตน
- ทุกอย่าง ก็กลายเป็นสิ่งว่างเปล่าอย่างแท้จริง ว่างเปล่าจากการเป็นตัวตนอิสระ
- ว่างเปล่าในแง่นี้หมายถึงกระดาษแผ่นนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยทุกสิ่ง และทุกสิ่งก็เต็มเปี่ยมได้ด้วยอยู่ในกระดาษ
คนเรา บริสุทธ์ด้วยปัญญา |
รักผู้อื่น ก็คือรักตนเอง ทำร้ายคนอื่นก็คือทำร้ายตนเ ช่วยผู้อื่น ก็คือ...."ช่วยตนเอง" อาม่า#พระเชนเรซิก# |
"สัมมาสัมโพธิญาน"
เป็นนามสมมุติใช้เรียกภาวะการเห็นแจ้งว่า
"ไม่มี ธรรม ใดเลย ที่ไม่เป็นโมฆะ"
สิ่งมีชีวิต และ สิ่งไม่มีชีวิตในจักรวาล เป็นเพียง รูปและ นาม
ที่ใดมีรูป ที่นั้นย่อมมีนาม
ที่ใดมีนาม ที่นั่นย่อมมีรูป
เมื่อรวมกันก็เป็นเหตุให้เกิดปฏิกิริยา
เปลี่ยนแปลง หมุนเวียน รอบตัวเองตามเหตุปัจจัย
นั่นเป็นที่มาของกฎไตรลักษณ์
เกิดขึ้น..ตั้งอยู่...ดับไป เสมอตามธรรมชาติ
ถ้าเมื่อใด..ที่เราเข้าใจว่า
ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำคือสิ่งเดียวกัน
ความยึดมั่นในรูปธรรม.....นามธรรมก็สลาย
ทุกสรรพสิ่งก็จะเป็น..เพียงมายาที่จิตขีดเขียนขึ้นมาทั้งสิ้น
เราคือท่าน....ท่านคือเรา
ตั้งแต่จักรวาล ดวงดาว ภูเขา ตลอดจนมาถึงเม็ดฝุ่น
ไม่มีสิ่งใดที่นอกเหนือไปจาก.....จิต
การยึดมั่นถือมั่น....ย่อมไม่ใช่"พุทธะ".
วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
เมื่อพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร แสดงพุทธานุภาพให้ลูกหลานกลุ่มโพธิญานขนรื้อภพภูมิใหญ่ ณ หมู่เกาะทะเลใต้
เมื่อพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร แสดงพุทธานุภาพให้ลูกหลานกลุ่มโพธิญานขนรื้อภพภูมิใหญ่ ณ หมู่เกาะทะเลใต้ |
- เมื่อพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร แสดงพุทธานุภาพให้ลูกหลานกลุ่มโพธิญานขนรื้อภพภูมิใหญ่ ณ หมู่เกาะทะเลใต้
ลูกๆนั่งแผ่เมตตา ดู ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่อัศจรรย์ หลังจากขนรื้อภพภูมิ |
ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์แห่งทะเลใต้ นำมอกวงซีอิมผ่อสัก |
- สาธุการ กับลูกๆที่ร่วมทริปเดินทาง ได้สักการะและร่วมห่มผ้าพระบรมสารีริกธาตุไชยา ซึ่งมีอายุยาวนานกว่าพันปี(อาณาจักรศรีวิชัย)
อาม่า#พระเชนเรซิก#
ดีใจ กับโอกาสและวาระ อันยิ่งใหญ่นี้ค่ะ ลูก |
วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
ภาวะโพธิสัตว์
เสื้อมังกร พระอวโลค่ะ ใส่ได้แต่งานโปรด ใส่เล่นไม่ได้ |
ศักยภาพ ความสามารถทางจิตจึงเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ให้ค่าได้แค่อุปายะไม่ตื่นเต้นกับ ญาน ฌาน ปาฎิหารย์ใดๆ
เปิดพลังแห่ง ความสุข.............
การให้เกียรติสิ่งรอบตัวถือเป็นการเปิดพลังแห่งทัศนคติใหม่ และยังเสริมการมองเห็นทัศนวิสัย ให้ก้าวสู่โลกที่มีคุณค่า และนอกจากนี้ยังทำให้คุณตื่นขึ้นมาเห็นความจริงรอบตัว ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็น และรับรู้คุณค่าของสิ่งรอบตัวเรา หรือสังคมของเรา แล้วเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ควรรัก รักในสิ่งที่ให้ความรู้สึกดีๆที่ตอบแทนมาอย่างมีคุณค่าจริงๆ มันจะช่วยฉุดดึงให้คุณหลุดออกจาก อดีตที่เจ็บช้ำหรือแม้แต่ความยึดติดใดๆก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งรอบตัวบางอย่างหรือหลายๆอย่างนั้น คุณอาจไม่เคยแยแส แม้แต่ก่อนที่จะพบเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ
คำว่า “การให้เกียรติ” คำๆนี้คือวิถีคือครรลองที่สังคมของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงในทางโลก ย่อมที่จะพัวพันกับภาวะของการให้เกียรติอยู่กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้เกียรติต่อ บุคคล ให้เกียรติต่อสัญลักษณ์ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ ให้เกียรติต่อสิ่งที่ยึดถือ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีบุญคุณ ในชีวิตเราและชีวิตท่านวันนี้คุณให้เกียรติคนที่คุณ "เกลียดชัง" พวกเขาแล้วหรือยัง.......
" โลกนี้จะร่มเป็นสุข อยากให้โลกนี้ดีงาม ให้เริ่มต้นที่ ใจ ตนเองเป็นอันดับแรก "