วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

498. พระแม่กวนอิม กับ พระอริยะสงฆ์ พระโพธิสัตว์

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน, เมฆ และ ท้องฟ้า

498. พระแม่กวนอิม กับ พระอริยะสงฆ์ พระโพธิสัตว์
**.หลวงปู่ดู่เรียกเจ้าแม่กวนอิมว่า เจ๊
  • เคยมีศิษย์คนหนึ่งนำรูปบูชาของเจ้าแม่กวนอิมไปถวาย พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ ถามถึงการมีอยู่ของพระโพธิสัตว์กวนอิม หลวงปู่ดู่ท่านได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่อธิบายอะไร หากเปรยขึ้นเพียงว่า 
  • “อ้อ ! เจ๊น่ะเหรอ” เจ๊ ในที่นี้แปลว่า พี่สาวในทางธรรม 
  • หลวงปู่ดู่ก็ปรารถนาพุทธภูมิ เรียก พระโพธิสัตว์ และพระแม่กวนอิมก็เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ปรารถนาจุดหมายเดียวกันหากลงมือบำเพ็ญก่อนหลังเท่านั้น 
 *** หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน
  • ณ ประเทศสิงคโปร์ แม่ชีซูง้อได้พาหลวงพ่อจรัญไปชมรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดินชมสถานที่ซึ่งจัดแต่งอย่างสวยงามนั้น จู่ ๆ หลวงพ่อจรัญได้สั่งศิษย์ ให้เอาซองปัจจัยในย่ามของท่านทั้งหมดใส่ลงตู้รับบริจาค และสั่งให้ศิษย์ที่ไปด้วยทั้งหมดลงมือทำบุญทันที จงอธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนาอย่างสูงสุดในชีวิตเดี๋ยวนี้
  • ตอนหลัง ท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านยืนพิจารณารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่นั้น ได้เห็นเทพธิดาองค์หนึ่งลอยออกมาจากองค์เจ้าแม่กวนอิม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างชาวจีนซึ่งสวยงามมาก แสดงคารวะต่อท่านและยิ้มแย้มยินดี
  • หลวงพ่อกำหนด เห็นหนอ ก็ทราบได้ทันทีว่าเทพธิดาองค์นี้เป็นเทพเจ้าระดับสูง มีบุญญาภินิหารมากนัก บำเพ็ญบารมีมาทาง สัจจะวาจา ทำให้เป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ เมื่อให้พรใครย่อมเป็นไปตามนั้นทุกประการ ที่มารักษารูปจำลองเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เพราะรับบัญชาจากพระแม่กวนอิมโดยตรงเพื่อโปรดมนุษย์

****หลวงปู่โต๊ะ เจอ พระโพธิสัตว์กวนอิม
  • ครั้งหนึ่งขณะที่หลวงปู่นั่งเจริญกรรมฐานอยู่ในโบสถ์ พลันก็เห็นเซียน 8 องค์เข้ามาพูดกับท่านว่า
  • "พระแม่กวนอิมมารับท่านเป็นสาวกและให้ท่านปฏิบัติแบบมหายาน คือไม่ฉันเนื้อวัว เนื้อควาย และให้ฉันเจทุกเทศกาลกินเจ"
  • หลวงปู่ก็ไม่ยอม เถียงไปว่า.........
  • "พระแม่เป็นคนจีน หลวงปู่เป็นคนไทยและนับถือพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ไม่ตกลงด้วย"
  • นับแต่นั้นมาเซียน 8 องค์ก็มาเฝ้าอ้อนวอนให้หลวงปู่เปลี่ยนใจ
  • จนกระทั่งวันหนึ่งเซียนทั้ง 8 องค์ก็มาหาอีกและบอกว่า
  • "วันนี้พระแม่กวนอิมเสด็จมาด้วยพระองค์เอง พักรออยู่ข้างนอก"
  • หลวงปู่ไม่สนใจได้แต่หลับตาเสีย เซียนองค์หนึ่งจึงไปเชิญเสด็จพระแม่กวนอิมเข้ามาในโบสถ์ และบอกให้หลวงปู่ลืมตาขึ้น หลวงปู่ลืมตาเห็นพระรัศมีสว่างไสวและพระลักษณ์สวยงามมาก พระแม่เจ้าให้หลวงปู่เข้าเป็นสาวกทางพุทธศาสนามหายาน และประทานเสื้อกางเกงชุดพระจีนให้ใส่แทน หลวงปู่เผลอรับเสื้อกางเกงมาสวมใส่ พอกางเกงสวมมาถึงเข่า ก็รู้สึกตัวได้สติ รีบดึงกางเกงออกทิ้งไป พระแม่กลับบอกว่า
  • "ท่านเป็นสาวกของพระแม่แล้ว ต่อไปนี้ท่านจะต้องฉันเจทุกปี
  • แล้วพระแม่กวนอิมและเซียนทั้ง 8 องค์ ก็หายวับไปกับตา
  • หลวงปู่โต๊ะจึงกินเจตั้งแต่นั้นมา

**พลโทสมาน วีระไวทยะ
  • ขณะท่าน ทำสมาธิเมื่อ ได้พบหญิงสาวนางหนึ่งเหาะลอยมาในอากาศ แวดล้อมด้วยหมู่เมฆสวยงามนัก สตรีท่านนั้นแต่งตัวด้วยชุดจีนพื้นขาวมีลายดอกสีแดงปักห่าง ๆ ใบหน้ายิ้มละมัยเปี่ยมด้วยเมตตา
  • ครั้นเอ่ยวาจาน้ำเสียงก็ไพเราะดุจระฆังเงินก้องกังวานทั่ว ท่านแนะนำองค์ว่าท่านคือ พระแม่กวนอิม ที่มานี้เพราะสวรรค์เห็นในคุณความดีที่นายพลสมานได้กระทำมาตลอดชีวิต และยังเข้าพระกัมมัฏฐานภาวนาโดยสม่ำเสมอ มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกจึงมีบัญชาให้องค์อวโลกิเตศวรนำคำพรมาให้ จากนั้นท่านก็ให้พรเป็นภาษาจีน
  • ขณะท่านทำสมาธิในอีกวาระหนึ่งองค์กวนอิมก็มาพบอีกครั้ง คราวนี้ทรงชุดขาวปักลายคล้ายปล้องไผ่และใบไผ่เป็นสีทอง ชายผ้าทั้งแขนเสื้อและคอเสื้อขลิบด้วยด้ายทองเป็นประกายระยิบระยับงามตา ทั้งการแต่งองค์และวงพักตร์ในครั้งนี้งดงามกว่าหนก่อนมากนัก
  • ท่านปรารภว่า เราคือพระโพธิสัตว์กวนอิม มาครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าท่านมิได้ฝันเพ้อหรือเกิดนิวรณ์ในจิตแต่อย่างใด หนก่อนเรานำพรจากสวรรค์มาให้ตามโองการ เมื่อท่านไม่แน่ใจเราจึงต้องมาอีกครั้ง และครั้งนี้เราจะประทานอักษรให้แก่ท่านด้วย
  • แล้วองค์กวนอิมก็คลี่ม้วนผ้าแดงปักดิ้นทองเป็นตัวอักษรจีนอยู่ภายในให้ดู พร้อมกับอ่านให้ฟังอย่างชัดเจน
  • “กวนอิมไต้ซือ ซี่สื่อ ฮกลกหงีเทียนสื่อ”
  • เจ้าแม่ยังสั่งอีกว่า จงหาผู้รู้หนังสือจีนให้เขาเขียนลงกระดาษแดงด้วยอักษรสีทองแล้วใส่กรอบบูชาไว้ จะบังเกิดโชคลาภ ปราศจากภัยอันตราย จะได้รับพรอันประเสริฐจากเทวโลก ทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากเราพระโพธิสัตว์กวนอิม แล้วท่านก็จากไป

บำเพ็ญหมื่นปี

ในภาพอาจจะมี 2 คน, ทารก

บำเพ็ญหมื่นปี ยังไม่เท่า
"หนึ่งนาที"
ที่ได้รักเธอ
"นิรันดรนั้นนานนัก แต่รักนี้ นานยิ่งกว่า"
หากเกิดมาแล้ว
ไม่รู้จะเดินเส้นทางใด

ไม่รู้เกิดมาเพื่ออะไร
ไม่รู้ว่าจะรักใคร

ไม่มีจุดยืน มั่นคง ชัดเจน เด็ดเดี่ยว

ชีวิต จะตื่นรู้ เบิกบาน ได้อย่างไร?

ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจให้ค่าในโลกธรรม8

เพราะเส้นทางแห่งจิตวิญญานของข้าพเจ้า 
มีค่างดงามกว่า เหตุปัจจัยนอกตน มากมายนัก

จงเป็นแสงสว่างให้ตนเอง และส่องสว่างให้ผู้อื่น
อาม่า#พระเชนเรซิก#

เมื่อเราไม่ยึดมั่นว่าอะไรเป็นตัวเราหรือของเราแล้ว
อะไร ๆ ก็มีหมดเองอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า 
คือ
ศีลจะมีเอง สมาธิจะมีเอง ปัญญาจะมีเอง
ด้วยการไม่มีการยึดมั่นถือมั่น


คนเราขาดศีลเพราะไปยึดมั่นอะไรเข้า
ไม่มีสมาธิก็เพราะไปยึดมั่น ถือมั่นอะไรเข้า
ไม่มีปัญญา โง่ที่สุดก็นั่นแหละคือตัวยึดมั่นอย่างยิ่ง

พุทธทาสภิกขุ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ในภาพอาจจะมี 5 คน, ผู้คนกำลังยืน

พัฒนากรรม



ท่านไม่ได้สอน ไม่ให้เชื่อ "กรรมเก่า"
แต่ท่านสอน....ไม่ให้เชื่อว่า 

อะไรๆจะเป็นเช่นไรเพราะกรรมเก่า


กรรมไม่ได้หมดด้วยการ..ชดใช้กรรม
แต่หมดด้วยการ "พัฒนากรรม"

โดยละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์
ดับกรรมด้วย "อริยมรรค" ซึ่งประกอบด้วยองค์ 8

กรรมเก่า 
คือ 
ใจนำเรื่องเก่านั้นขึ้นมาคิด
(เป็นผัสสะทางใจ)
แล้วเกิดเวทนาแล้วเพลินเวทนาอีกที 
จนกรรมให้ผล

วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

รู้"เหตุ"แห่งการเกิดชีวิตได้

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

รู้"เหตุ"แห่งการเกิดชีวิตได้ 
ก็เท่ากับ 
ทำความรู้จักต้นกำเนิดแห่งจักรวาล
จิตที่หลงยึด..หลงติด 
ย่อมไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ย่อมสำคัญมั่นหมายการมีตัวตน

ความสำคัญผิดแห่ง"การมีตัวตน"นี่แหละ 
ก่อภาวะแห่ง"รูป"และ"นาม"

กรรมดำบ้าง..กรรมขาวบ้าง
"ทั้งหมดทั้งปวงในจักรวาล
มันเป็นเพียงสภาพแวดล้อม"

เพื่อตกรางวัล หรือ ลงโทษสัตว์ ที่ยังเวียนวน
.......แค่นั้นเอง........
อาม่า#พระเชนเรซิก#

ถ้าจะพ้นทุกข์ได้...
ก็ต้องพ้นจากสุขด้วย
ท่านจะอิสระจาก
"ความรู้สึก"

ถ้าจะเหนือจากชั่วได้...
ก็ต้องเหนือจากดีด้วย
ท่านจะอิสระจาก
"เจตนา"

ถ้าจะหลุดพ้นจากกิเลสได้...
ก็ต้องหลุดพ้นจากสัจธรรมด้วย
ท่านจะอิสระจาก
"ความจริงหรือไม่จริง"

หากไม่มีการปรุงแต่งใดๆในจิต

" สิ่งสมมุติ" 
ย่อมไม่อาจมีตัวตนเกิดขึ้นได้

โลกียะ....
อาจสอนให้ท่านยืนอยู่ตรงกลาง

แต่ 
โลกุตตระ
นั้น ไม่มี"ท่าน"ที่จะยืนตรงจุดไหนเลย

#โอม มณี ปัทเม หุม#

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

"ไม่มีพระโพธิสัตว์พระองค์ใด มีวิถีราบเรียบหรอก"

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป
"ไม่มีพระโพธิสัตว์พระองค์ใด มีวิถีราบเรียบหรอก"
การได้มาซึ่งปัญญาของพระโพธิสัตว์นั้น 
วิถีอื่นๆไม่สามารถจะหยั่งถึง

เพราะ การที่จะฉุดช่วยเวไนยให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้
พระโพธิสัตว์จะบ่มเพาะกำลังปัญญาของตน
เพื่อคลำหาทางออกจากสังสารวัฏด้วยตนเอง
การบำเพ็ญเป็นเอนกชาติ ข้ามผ่านพุทธันดร
ล้วนผ่านมาทุกภพภูมิ เป็นมาทุกอย่าง ทั้งดีเลว

ประสบการณ์ชีวิต อย่างเข้มข้นจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญ
ที่จะส่งเสริมจิตของพระโพธิสัตว์ให้ก้าวหน้า 
จนรอบรู้สามารถฉุดช่วยผู้อื่นได้
จะกล่าวไปใย ในเรื่องรัก-ใคร่ ได้-เสียแบบโลกๆ
ในเมื่อ แม้การจุติ ก็ยังแค่ยืมใช้ 
"วิบากกรรม" 
มาเป็นเครื่องมือประชุมธาตุทั้ง4
เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวในการโปรดสัตว์
วิบากกรรม จึงมีคุณต่อพระโพธิสัตว์
เพราะใช้ในการอุปโหลก อุปาทาน มาจุติ

แต่จิตนั้นเป็นอิสระ
เมื่อจิตเป็นอิสระ ก็อยู่นอกเหนือการชดใช้ทั้งปวง
เมื่อนอกเหนือการชดใช้ ทั้งปวง
รูปธาตุ นามธาตุนี้ ก็กลับคืนมหาสุญญตาจนหมดสิ้น
ดังนั้น...
สิ่งที่ลูกๆต้องผ่านให้ได้คือเอาชนะความกลัวในจิตตน
ความกลัวสูญเสียตัวตนเป็นความกลัวภายใน
เป็นอุปสรรคต่อผู้ดำเนินโพธิจริยา
ทำให้การช่วยเหลือสรรพสัตว์ไม่ราบรื่น

ด้วยต้องมาคอยปกป้อง ตัวตนของตนเองก่อน
แต่หากตั้งใจที่จะเดินสายโพธิญาน
ก็ต้องปลดปล่อยความกลัวภายใน5ประการคือ
1.กลัวการดำเนินชีวิต
2.กลัวคำนินทาว่าร้าย
3.กลัวความตาย
4.กลัวทุกคติ(นรก-อบาย)หรือกลัวตกไปสู่ความเสื่อม
5กลัวสังคม
ปราศจากความกลัวตรงนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องสะดุด 
นอกจากหยั่งสู่ความว่างโดยไม่ทิ้งโลก
ลูกเอ๋ย ทุกข์ ชาติ ชรา มรณะ เป็นแค่ถนนให้เราเดินผ่าน
เป็นแค่"ทาง"เอื้อให้เราได้สานต่อปนิธาน 
อย่าทดท้อ หวาดกลัว กับภัยในสังสารวัฎเลย

เราจะเดินไปด้วยกันด้วยความอบอุ่น
มีรักเป็นแสงนำทาง

และมีมหาปนิธาน เป็นที่สุดแห่งฝัน
โอม มณี ปัมเม ฮุม.....

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

อาม่า ชอบ "กระทำ"มากกว่าพูด

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, แว่นกันแดด และ ข้อความ
  • อาม่า ชอบ "กระทำ"มากกว่าพูด
  • สันดานเพ่งโทษผู้อื่นไม่มี
  • อีกทั้งยังสอนลูกๆกลุ่มโพธิญานด้วย มิให้เพ่งโทษผู้ใด
  • ผู้ที่เดินมุ่งไปบนหนทาง...ที่ถูกต้อง
  • ย่อมมองไม่เห็น"ความผิด"ต่างๆในโลกนี้
  • เพราะถ้าเราพบความผิดของบุคคลอื่น..
  • เราก็จะตกในกรงความผิดนั้นเช่นกัน
  • ในฐานะ..ที่เราไป"รื้อค้น"หาความผิดนั้น
  • หาก"สลัดนิสัย"ชอบค้นหาความผิดผู้อื่น..จากสันดานเรา
  • มันจะตัด"หนทาง"แห่งการสร้างกรรมและการมาของกิเลสทั้งหลายได้เป็นอย่างดี
  • (และแท้ที่จริงแล้ว จิตของอริยบุคคลนั้น
  • มองเห็นถูก-ผิดไม่แตกต่างกัน เพราะมันแค่สิ่งสมมุติ)
  • แต่ท่านหยิบฉวยสมมุติมาใช้ในลักษณะ ที่เป็นประโยชน์โลก
  • โดยที่จิตท่าน มิได้ไหลไปตามการให้ค่า ต่อสิ่งอันเป็นมายาเหล่านั้นเลย
  • ****ที่สำคัญ***
  • "...ผู้เบียดเบียนผู้อื่น คือผู้เบียดเบียนตนเอง
  • ผู้สงเคราะห์ผู้อื่น คือผู้สงเคราะห์ตนเอง
  • ความเมตตาที่มนุษย์มีต่อกัน มีเดชานุภาพยิ่งกว่าสิ่งใดๆ...
  • ผู้ที่ฆ่า ผู้ชนะ ผู้ด่า ผู้ประทุษร้ายเขา ย่อมได้ ผู้ฆ่า ผู้ชนะ ผู้ด่า และผู้ประทุษร้ายตอบ..."
  • #แท้ที่จริง แรงดึงดูดตาข่ายพระอินทร์ จะนำสิ่งเดียวกัน หรือคนประเภทเดียวกันมาพบกัน ร่วมกลุ่มกันเสมอ*****
  • #อาม่า#

นี่ สมมุติ และนั่น ก็สมมุติ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, เครื่องดื่ม
  • ผู้ปฎิบัติธรรมมักกล่าวกันว่า...นี่ สมมุติ และนั่น ก็สมมุติ
  • แต่การเพิกถอนสมมุติ 
  • ก็เป็นการตกหลุมพลางให้สมมุตินั้นมีอยู่จริง
  • สมมุติ นั้น มิได้ตั้งอยู่กับความจริง หรือ ไม่จริง
  • แต่มันตั้งอยู่บนความคิดแบบทวินิยม คือของคู่ต่างหาก
  • หยุดปรุงแต่ง ทุกสิ่งที่เรียกว่าตรงกันข้ามเสีย
  • นั่นคือการปล่อยทั้งสองมือ ดีก็ไม่เอา...ชั่วก็ไม่เอา
  • ผู้บรรลุ ผู้ไม่บรรลุ หรือ สิ่งที่บรรลุ ล้วนเกิดจากความกระหายต่อการหลุดพ้น
  • ..........เมื่อไม่มี" ตัวตน "หรือ ความคิด ที่จะหลุดพ้นแล้ว.....
  • ธรรมทั้งปวงจะมีประโยชน์อันใด......
    • อาม่า#พระเชนเรซิก#

ตถาคตเป็นนายตนเอง

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม

  • พระพุทธเจ้าได้เสด็จผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
  • มีคนมาเข้าเฝ้าและใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อพระองค์มากมาย
  • พระองค์ทรงรับฟังอย่างตั้งใจ แล้วตรัสว่า
  • "ขอบใจท่านมาก แต่ตถาคตต้องไปหมู่บ้านข้างหน้า วันนี้ตถาคตให้เวลาท่านได้น้อย
  • หากกลับมาพรุ่งนี้ ตถาคตมีเวลาให้พวกท่าน
  • พวกท่านค่อยมารวมตัวกันใหม่ และสามารถกล่าวถ้อยคำที่ยังไม่ได้กล่าว"
  • คนเหล่านั้นต่างไม่เชื่อหูตัวเอง แล้วถามว่า พระองค์จะไม่ตอบอะไรบ้างหรือ???
  • พระพุทธเจ้าตรัสว่า
  • "ถ้าท่านต้องการให้ตถาคตตอบกลับ
  • ท่านควรมาตั้งแต่10ปีก่อน
  • แต่ตอนนี้ ตถาคตได้ยุติให้บุคคลอื่นมาควบคุมแล้ว
  • ตถาคตไม่เป็นทาสอีก 
  • ตถาคตเป็นนายตนเอง
  • ท่านบังคับตถาคตให้ทำสิ่งใดไม่ได้หรอก
  • มันเป็นการดีสมบูรณ์แบบแล้วโดยหน้าที่ท่าน ที่สบประมาทตถาคต
  • ท่านได้ทำหน้าที่ของท่านดีที่สุดแล้ว!!!
  • แต่ตถาคตจะไม่รับถ้อยคำเหล่านั้นไว้
  • เมื่อตถาคตไม่รับ...ถ้อยคำเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย"
  • #ลูกๆโพธิญานของอาม่า ก็ไม่ควรเป็นทาสวาจาและเป็นทาสอารมณ์ของใครเช่นกัน#
  • อาม่า....พระเชนเรซิก

วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

หากสุข...เราสุขด้วยกัน

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, มหาสมุทร, ข้อความ และ สถานที่กลางแจ้ง
  • หลายคนถามว่า ทริปใต้ อาม่ารอที่ใต้ หรือบินมาขึ้นรถพร้อมลูกๆ
  • ขอตอบว่า "อาม่าบินมาขึ้นรถที่ กทม ออกเดินทางพร้อมลูกๆค่ะ"
  • หลายคนถามว่า จะเหนื่อยย้อนมาย้อนไปทำไม
  • รอที่ใต้ดีกว่า ขอตอบว่า...
  • ชีวิตอาม่า ไม่มีความสำคัญเท่ากับเส้นทางแห่งความดีงามของลูกๆ
  • ความเจ็บไข้ได้ป่วย และความเหน็ดเหนื่อยใดๆ หากเป็นไปเพื่อลูกๆ มันไม่มีความสำคัญเลย
  • เส้นทางแห่งโพธิญานของลูกๆเป็นปัจจัยให้อาม่า เหนือความเหน็ดเหนื่อย ความเบื่อหน่าย และความยากลำบากทั้งปวง
  • หัวใจพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ข้ามผ่าน หลงลืมแล้วซึ่งตนเองเสมอ
  • เหตุผล ที่มาขึ้นรถพร้อมลูกๆคือ
  • หากอาม่า อยู่กับลูกๆ ลูกๆจะอบอุ่นมากกว่าเดินทางกันลำพังแต่ลูกๆ
  • และอาม่าก็ต้องใช้อานุภาพ คุ้มครองลูกๆตลอดการเดินทางด้วย
  • หากสุข...เราสุขด้วยกัน
  • หากทุกข์...เราทุกข์ด้วยกัน
  • นี่คือสัจจะ ที่อาม่ามีให้ลูกๆเสมอมา
  • อาม่า#พระเชนเรซิก#
ในภาพอาจจะมี 3 คน
  • เราไม่เคยข่มใคร
  • แต่....เราก็ไม่อยู่ในสถานะ
  • ที่จะ"อ่อนแอ"ให้ใครมาข่ม
  • เพราะเส้นทางของเรา 
  • ไม่ได้มุ่งหาความดับทุกข์เฉพาะตน
  • หรือหลีกลี้ความทุกข์ของสรรพจิตอื่นๆ
  • แต่....เราต้องแข็งแกร่ง 
  • เพราะอยู่ในสถานะเป็นที่พึ่งแก่ล่ำสัตว์
  • เราจึงมิอาจโอนอ่อนหรือหวาดกลัวต่อภัยใดๆในสังสารวัฏนี้
  • เป็นได้ทั้ง"เทพทั้งมาร" ตามแต่เหตุปัจจัย
  • และพร้อมสละทิ้งทุกอย่าง 
  • เพื่อรักษาสถานะแห่งการดำรงอยู่
  • ในภารกิจปลอบประโลมผู้คนมากมาย
  • ที่รอและตามหาเราตามเหตุปัจจัยในอธิวาสนา
  • #อาม่า#
ในภาพอาจจะมี อาหาร และ สถานที่ในร่ม
เช้านี้...ที่รามอินทรา ก่อนกลับใต้ เที่ยงนี้
เช้านี้...ที่รามอินทรา ก่อนกลับใต้ เที่ยงนี้
ในภาพอาจจะมี อาหาร
เช้านี้...ที่รามอินทรา ก่อนกลับใต้ เที่ยงนี้

ในภาพอาจจะมี อาหาร
เช้านี้...ที่รามอินทรา ก่อนกลับใต้ เที่ยงนี้
ในภาพอาจจะมี ผู้คนกำลังนั่ง, ตาราง และ สถานที่ในร่ม

ในภาพอาจจะมี ต้นพืช, สถานที่กลางแจ้ง, น้ำ และ ธรรมชาติ
ในภาพอาจจะมี ห้องนอน และ สถานที่ในร่ม
ในภาพอาจจะมี ห้องรับแขก และ สถานที่ในร่ม
ในภาพอาจจะมี บ้าน, ต้นไม้, ต้นพืช, ท้องฟ้า และ สถานที่กลางแจ้ง

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

ความเป็นสงฆ์.


ความเป็นสงฆ์...
ไม่จำเป็นต้องผ่านประตูสงฆ์
ความเป็นพระ...
ไม่จำเป็นต้องห่มจีวร เปลี่ยนเครื่องแบบสวมใส่
การปล่อยวาง 
มิใช่การหลบเร้นหน้าที่ อยู่สมถะ ไร้สิ่งผูกพัน
หาก...แต่
เป็นการทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ทุกอย่าง
"โดยจิตไม่กอดรัด"
ให้เป็นทุกข์
วิถีแห่งโพธิสัตว์ 
เป็นวิถีใหญ่ที่สุดกว่าวิถีทั้งปวง 
เพราะเป็นพาหนะอันอบอุ่นขนรื้อนำพาเวไนยสัตว์
พระโพธิสัตว์นั้นคือ
ผู้ซึ่ง...
ใช้รูปธรรมนามธรรมอันเป็นมายาทุกสิ่ง
โดยไม่ต้องใช้สิ่งใด
และเป็นผู้ท่องเที่ยวไปทุกแห่งหนทุกคืนวัน
โดยไม่ต้องท่องเที่ยว
รวมทั้งเดินไปในวิถีแห่งพระพุทธะทั้งปวงด้วย.
#อาม่า#พระเชนเรซิก

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

มหาปนิธานมาจากไหน


  • หลายคนสงสัย ทำไมอาม่าจึงสอนว่าโพธิจิตนี้ เป็นทางลัดเข้าสู่มรรคผลนิพพานและสามารถยกจิตเข้าสู่ระดับพระพุทธเจ้าได้ และมหาปนิธานมาจากไหน ??
  • ส่วนใหญ่มาจากการเคยเกิดเป็นมนุษย์ในกาลก่อน ออกบวชได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วศรัทธาเลื่อมใส ในพุทธิจริยา และปฏิปทาแห่งพระพุทธองค์
  • จึงตั้งปนิธานด้วยจิตกรุณาอย่างขีดสุดต่อหน้าพระพุทธองค์ ประสงค์ต้องการช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้น
  • ***ขอบอกว่า อธิษฐานนั้น ผ่านการรับรู้ เข้าสู่จิตพระพุทธองค์ทั้งสิ้น****
  • เมื่อพุทธจิตอันเข้มแข็งผสานกับมหาปนิธานอันแรงกล้า และการบำเพ็ญสืบต่อปนิธานยาวนานต่อเนื่อง ***ภาวะทิพย์จะปรากฎรองรับพุทธิปัญญาและมหากรุณา ****ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆของกฎเหตุและผล
  • เมื่อจิตของบุคคลสั่งสมบารมีด้วยการทำความดี และอธิษฐานจิตเพื่อผู้อื่นตลอดเวลา การดำเนินชีวิตอันยาวนานในสังสารวัฏด้วยอุดมการณ์แห่งพระโพธิสัตว์ 
  • พลังนั้น...ย่อมบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ จะสะท้อนออกมาเป็นพระคุณทั้งสาม คือ มหาปัญญา มหากรุณา และมหาอุปายะ(อุบายธรรม)
  • พระคุณเหล่านี้ เมื่อปรากฎในดวงจิตใด ก็จะเป็นแสงสว่างช่วงโชติหล่อเลี้ยงสังสารวัฎ พลังแห่งความกรุณานั้น ใครจะคิดเล่าว่าจะมีอานุภาพมากมายหล่อหลอมเป็น "พละบารมี" คือบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ อานุภาพ
  • แล้วยังสะท้อนออกมาเสริมทศบารมีอื่นๆ ที่บำเพ็ญอีกด้วย เพื่อประโยชน์ต่อเวไนยสัตว์ตามจริต
  • จิตที่ตั้งเจตจำนงค์โพธิสัตว์ นั้นล้วนมุ่งมั่นให้เวไนยตระหนักรู้ในตนเอง แทนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง อธิบายธรรมะให้เป็นเรื่องจิตและกระบวนการการทำงานของจิตทั้งสิ้น
  • สมมุติและปรมัตถ์ของพระโพธิสัตว์จึงมิได้แยกจากกัน ด้วยการเข้าใจบ่มเพาะธรรมอิงอาศัยมานานแสนนาน
  • ภาวะโพธิสัตว์จึงข้ามผ่านตัวตน ศักยภาพ ความสามารถทางจิตจึงเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ให้ค่าได้แค่อุปายะไม่ตื่นเต้นกับ ญาน ฌาน ปาฎิหารย์ใดๆ แต่....หยิบยกมาใช้ได้ ตามจริตสัตว์
  • ให้ค่าได้แค่ความจริงของธรรมชาติ ที่เป็นธรรมโดยธรรม ด้วยการมองโลกด้วยพุทธิจริต คือ "ตถตา" เท่านั้น
  • ##พวกลื้อ เห็นและซาบซึ้งในพุทธิจริยาพระพุทธเจ้าเอง แล้วเลื่อมใส อธิษฐานเอง ตั้งปนิธานเองเบื้องต่อหน้าพระพักตร์
  • กล้าผิดสัจจะ ถอนสัจจะ ต่อตนเองหรือ?????

#อาม่า...พระเชนเรซิก#

วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

ผมขาวครึ่งหัวแล้ว ใกล้เป็นอาม่าเต็มตัวแล้ว

#ผมขาวครึ่งหัวแล้ว ใกล้เป็นอาม่าเต็มตัวแล้ว#
โอ้...จอมศาสดา โลกนาถ...ที่พึ่งแห่งโลก
ธรรม...ที่รับสั่งจริงแท้

รอยเท้าที่ใหญ่กว่าสัตว์ทั้งปวง คือรอยคชสาร

ธรรมะที่สูงสุดกว่าธรรมะทั้งปวง คือมรณานุสติ
ยามมนุษย์รู้ว่า มรณะมาเยือน ความกลัวที่จะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เคยรักเคยยึด
จะทำให้ตระหนกตกใจ เหมือนเรือนกำลังถูกไฟไหม้ 
ดิ้นรนต่อสู้กับการยื้อลมหายใจไว้ อย่างรุนแรง
พื้นนิสัย อันเป็นกรรมที่ทำประจำนี่แหละ คือตัวจุดชนวนชาติภพต่อไป
ดังนั้นนะลูก การฝึกจิตให้มรณะท่ามกลางกุศลจิต จะทำให้เราไปสู่สุคติภพได้
และอย่าประมาทกับ อาจิณกรรม 
เพราะฝึกสติจนเก่งแค่ไหน ก็จะโดนอาจิณกรรมครอบงำเหนือความรับรู้ได้หมด

คนฆ่าวัว ฆ่าหมู ร้องดั่งโค ดั่งหมู
นักชนไก่ ใช้นิ้วหัวแม่มือชนกันจนเลือดออก
คนตกปลา พยายามฉีกปากตน

สารพัดที่จะเป็นไปตามอาจิณกรรม 
ซึ่งเป็นกรรมการกระทำเล็กๆน้อยๆที่ทำประจำ ในขณะมีชีวิตนี่แหละ

โพธิจิตนี้ นอกจากจะให้คุณประโยชน์ในด้านอื่นๆแล้ว 
ยังเป็นธรรมลัดตัดตรง ในการผ่านพ้นอาจิณกรรมได้
เพราะโพธิจิต คือจิตที่สละ คือจิตที่ข้ามผ่านตนเอง จิตละทิ้งตนเอง 
เมื่อทำประโยชน์เกื้อกูลผู้อื่น
ทำให้จิตย่อมเคยชินต่อการวาง ต่อการละ ต่อการยึดโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
ที่สำคัญ ความปิติ ความงดงามในทุกกิจกรรม
ที่เป็นอานิสงค์อาบย้อมจิตใจ

จนลูกๆบอกอาม่าเสมอว่า ลูกๆยิ้มได้ แม้ยามหลับและตื่นในปัจจุบันขณะ
ความมหัศจรรย์นี้ เพียงพอแล้วมิใช่หรือ 
สำหรับคำว่า"ชีวิต"

ศานติ แห่งการที่จิตมิต้องดิ้นรน ไขว่คว้า กอดรัด คือความมหัศจรรย์ที่ประเสริฐสุด
ยังต้องหาความมหัศจรรย์อื่นๆใดอีกเล่า
อาม่า...พระเชนเรซิก

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ความรื่นรมย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือการให้

เพราะถ้าคุณไม่ให้


คุณก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนในการดำรงชีวิตอยู่เสมอ

ความรักคือสิ่งที่มีค่าที่สุด 
และเมื่อคุณให้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคือ"ความรัก"ออกไป

นั้นคือแม่เหล็กที่จะดึงดูดทรัพยสินทั้งปวงเข้ามาในชีวิต

และชีวิตคุณจะมั่งคั่งยิ่งกว่าที่คุณคิด

เพราะเมื่อคุณให้ความรัก
คุณจะได้รับความรักตอบแทนกลับมาจนรับแทบไม่ไหว

คุณจะมั่งคั่งและมีชีวิตอย่างอัศจรรย์

และการดิ้นรนในการต่อสู้เพื่อดำเนินชีวิตมันจะหายไปด้วย

วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

ต่อเนื่องจากโพสต์ที่แล้ว


ลูกรัก...
เป็นไปได้หรือว่า มหาบุรุษผู้ตั้งปนิธานอุทิศตนช่วยเหลือสรรพสัตว์ทุกภพทุกชาติ เป็นเวลานับอสงไขย แสนมหากัปป์
จะยอมปล่อยวางปณิธานอันแรงกล้า
เมื่อตรัสรู้พระชาติสุดท้าย และทรงสั่งสอนปวงสัตว์แค่45ปี
เป็นไปได้หรือ...ที่พระพุทธเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยมหาปัญญาและมหากรุณา จะสิ้นสุดการทำหน้าที่อันยาวนานของพระองค์ไว้แค่เพียงการปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารา
จากนั้น...ก็ทิ้งปวงสัตว์ที่ยังมีธุลีในดวงตา
"ให้ไร้ที่พึ่ง"
ความจริงแล้ว ภาวะพระพุทธเจ้าไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา เพราะเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า คือพระปัญญาคุณ พระกรุณาคุณ และพระบริสุทธิ์คุณ
และพระคุณทั้ง3นี้ จะถูกแปรเป็นมหาอุบายในรูปแบบต่างๆ เพื่อยังประโยชน์หลากหลายระดับ
การประสูติของพระองค์จึงเป็นมหาอุบายอย่างหนึ่งที่มีเป้าหมายเฉพาะ เมื่อทำหน้าที่เฉพาะกิจจบ พระสรีระอาจจะดับ แต่"พระพุทธคุณ"มิได้ดับ"ไปด้วย
และความกรุณาอันไร้ขีดจำกัดนี้ จึงเป็นความสามารถเหนือธรรมชาติ ที่แทรกซึมในทุกสรรพสิ่ง
พุทธานุภาพ จึงเป็นพลังงานที่แทรกซึมได้ ในทุกวัตถุธาตุ แม้รูปเหมือน อักขระ บทสวดมนต์พระพุทธรูป ท้องฟ้า ภูเขา ดวงดาวหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หรือแม้แต่"จิต"มนุษย์
ดังนั้น การตรัสรู้ของพระองค์มีมานานแล้ว
แต่การปรากฏในโลกในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็ เพื่อเป้าหมายที่จะเอื้อประโยชน์ ในการสั่งสอนธรรม
คือธรรมไตรลักษณ์ อนิจจัง อริยสัจ รวมทั้ง การเกิด แก่ เจ็บตาย ให้เห็น
เพื่อปวงสัตว์ได้เกิดความอบอุ่นในตัวตนที่มีของพระพุทธเจ้า และเชื่อในกฏแห่งกรรม ธรรมอิงอาศัย เช่น อิทัปปจยตา หรือปฏิจสมุปบาท
แต่ท้ายที่สุดแล้ว... ปวงสัตว์ก็จะหยั่งถึงพุทธจิตในจิตตน แล้วเดินสู่"เอกยาน"เหมือนกันหมด
ยานที่เป็นหนึ่งเดียว กับพระพุทธเจ้าทั้งปวง
โอวาทธรรมอาม่า#พระเชนเรซิก#

สาธุการในพลังรักแห่งโพธิจิต

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

  • ขอพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ในกลุ่มโพธิญาน เตรียมพร้อม ชำระกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์
  • เพราะในวันที่19 นี้ นอกเหนือจากการไปทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี ตามสมมุติบัญญัติโลกแล้ว
  • เบื้องหลังคือ ภารกิจขนรื้อภพภูมิ ที่อาม่าและลูกทุกคนต้องน้อมรับพลังพระอมิตภะตถาคตเจ้าลงมาเปิดประตูมิติ ปลดปล่อย ถอดถอน อักขระ และการจองจำทั้งหมด
  • ดั่งปนิธานที่ว่าบารมีแห่งพระโพธิสัตว์นั้น ทุกที่..ที่ย่างก้าวไป
  • หากข้าพเจ้าหันไปภูเขาดาบ ภูเขานั้นจะภินทนาการ
    • หากข้าพเจ้าหันไปทางวารีเดือดพล่าน วารีนั้นจะเหือดแห้งเอง
    • หากข้าพเจ้าหันไปทางนิรยภูมิ(นรก) นิรยภูมินั้นจะสิ้นสูญ
    • หากข้าพเจ้าหันไปทางเปรต เปรตนั้นจะอิ่มเอิบ
    • หากข้าพเจ้าหันไปทางอสุรกาย จิตอสุรกายจะสงบลง
    • หากข้าพเจ้าหันไปทางเดรัจฉาน เดรัจฉานจะเกิดปัญญาอันยิ่งใหญ่#
  • โดยการนี้ มีผลบุญจากมหากุศลใหญ่ทั้งผ้าป่า และอัฐบริขารบริวาร ผ้าไตร ส่งพวกเขาเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา ที่ มิใช่การรื้อถอน โดยไร้เหตุไร้ผล
  • (พวกเขาจะนั่งเรือดอกบัว ซึ่งเป็นที่รองบาทแห่งองค์อวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ลอยตามวารีแห่งห้วงมหรรณพ โดยมีแสงสว่างแห่งพลังบุญนำทางไป)
  • #อาม่าเห็นจิตญานที่รอ ดำมืดสุดประมาณ และที่เห็นในมโนยิทธิชัดเจน คือมีเปรต มารอส่วนบุญ#
  • ภารกิจนี้จะสำเร็จ งดงามมิได้เลย ทั้งภาคหยาบภาคทิพย์ หากไม่มีพระกรต่างๆของ พระอวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์ ปฎิบัติภารกิจและทำงานด้วยหัวใจอย่างมุ่งมั่นเช่นนี้
  • ขอบคุณลูกๆทุกคน และสาธุการในพลังรักแห่งโพธิจิต ของผองเรา

อาม่า#พระเชนเรซิก#
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี เมฆ, ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560

พระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ 3 มิติ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม

  • เนื่องด้วยกำลังแสดงธรรมลูกๆในกลุ่มโพธิญานอยู่ เห็นว่าลูกๆให้ความสนใจ จึงนำมาอธิบายหน้าเฟสเพื่อเป็นธรรมทานด้วย

พระพุทธเจ้านั้นมีอยู่3มิติ
  • กายเนื้อ เรียกว่า นิรมาณกาย
  • กายธรรม เรียกว่า ธรรมกาย(ธรรมะ) คือเรื่องของความจริงตามธรรมชาติ
  • กายทิพย์เรียกว่า สัมโภคกาย คือสัมพันธ์กับจิตวิญญานของพระพุทธเจ้า
  • การปรากฏของพระศากยะมุนีพุทธเจ้าเป็นแค่อุบายธรรมที่เกี่ยวเนื่องปัญญาบารมี ความจริงแล้วพระชนม์ชีพพระองค์เป็นนิรันดร์ดำรงอยู่ชั่วกัปป์เพราะธรรมกายคือแก่นสาร
  • ธรรมกายมิได้หมายถึงแค่คำสั่งสอน แต่หมายถึง พุทธคุณที่ซึมซ่านแทรกซึมในทุกสรรพสิ่งทั้งในธรรมชาติและจิตมนุษย์
  • และทรงทำหน้าที่ผ่านนิรมาณกายและสัมโภคกาย ในภัทรกัปของเราดังนี้
    • พระไวโรจนะพุทธเจ้าสัมพันธ์กับกายเนื้อคือพระกกุสันธะพุทธเจ้า(องค์ที่1)
    • พระอักโษภยะพุทธเจ้าสัมพันธ์กับกายเนื้อพระโกนาคมนะพุทธเจ้า(องค์ที่2)
    • พระรัตนะสัมภวะพุทธเจ้าสัมพันธ์กับกายเนื้อพระกัสสปะพุทธเจ้า(องค์ที่3)
    • พระอมิตภะพุทธเจ้าสัมพันธ์กับกายเนื้อพระศากยะมุนีพุทธเจ้า(องค์ปัจจุบัน)
    • และองค์ที่5องค์สุดท้าย คือพระอโมฆะสิทธิพุทธเจ้าจะมีสัมพันธ์ทางกายเนื้อมาเป็นพระศรีอริยะเมตไตยในพุทธันดรหน้า
  • แท้จริงแล้ว พระศากยะมุนิพุทธเจ้าท่านแค่ใช้อุปายะสำแดงนิรมาณกายลงมาโปรด
  • พระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา ในทุกสรรพสิ่ง

เมื่อมองเห็น"ตัวเองมีค่า

ในภาพอาจจะมี 2 คน
ลูกรัก...
แค่ลูกช่วยลูกหมาตกน้ำ ใ
ห้เงินขอทาน20บาท
ช่วยคนอ่อนแอข้ามถนน 
ล้างห้องน้ำวัด แบ่งปันอาหาร 
ดูแลผู้อื่นเล็กๆน้อยๆ

เราก็บอกตัวเองได้แล้วว่า 
เราดี-เราเก่ง-เรามีประโยชน์

ทำดีบ่อยๆ บอกตัวเองซ้ำๆจิตเราจะมั่นคง
คนที่มองเห็นความมีค่าของตนเองได้
จะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง

เพราะจริงๆความสุขของมนุษย์เกิดขึ้นได้
เมื่อมองเห็น"ตัวเองมีค่า"
สิ่งนี้สำคัญที่สุด!!!
มันไม่ได้อยู่ที่เงินทองชื่อเสียงเกียรติยศ 
หรือมีคนมารัก มาชอบเลย
นั้นคือเหตุผลว่าทำไม
คนเฒ่าคนแก่ ที่ปลดเกษียน 
ได้เลี้ยงหลาน ทำงานบ้านเล็กๆน้อย 
หรือได้ทำงานจิตอาสา
ได้มาพับถุง มาช่วยงานมูลนิธิ 
มาช่วยงานวัด งานโรงเจ

คนเหล่านั้นจึงมีความสุข สดชื่นขึ้น
การมีชีวิตอยู่ แล้วอยู่อย่างเห็น
"ความมีค่า"
ของตนเอง 
จะทำให้ให้เรารักตัวเองและภูมิใจในตัวเองได้
ความรู้สึกนี้ 
จะตกผลึกในระดับจิตใต้สำนึก
แล้วมันจะดึงดูด สิ่งดีๆ 
ที่มีค่าเข้ามาในชีวิตมากมาย
ทั้งความโชคดี ความรัก เงินทอง
และความสุขต่างๆเข้ามา
ตามกฎแห่งแรงดึงดูด
(ตาข่ายพระอินทร์)
"ความรักนั้นจะไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าไม่รู้จักแบ่งปัน"
นะ ลูก
#อาม่า...พระเชนเรซิก#

"ปัญญาสมบูรณ์"

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป


หนทางแสนไกล...ที่เดินทางนั้น 
ไม่ได้มุ่งหวังจะเอาอะไร

แต่ฝึกฝนเพื่อ....

วางเฉยได้ต่อญาน
วางเฉยได้ต่อปัญญา
วางเฉยต่อสังขาร
(สิ่งปรุงแต่ง)
ทั้งหลายได้

จึงเหนือโลก

เพราะ
ทั้งญานทั้งปัญญา
เดี๋ยวก็เสื่อม

จงอยู่เหนือ
ทั้ง
เจริญ ...ทั้งเสื่อม

จงอยู่เหนือ
ทั้งดี...ทั้งชั่ว

วางเฉยทุกสังขารคือการปรุงแต่ง

...ท่านก็สิ้นทุกข์....

จบแค่นั้นเอง เช่นนั้นเอง

เมื่อ
"ปัญญาสมบูรณ์"
อริยมรรคจะเกิดขึ้น
วิปัสสนาญานจริงๆ 
จะไม่มีความคิดเข้ามาแทรกแซง
เริ่มจากจุดที่รู้เท่าทันความคิด 
แล้ว
"ตื่น"
จากความคิดตน
หนทางแสนไกล...ที่เดินทางนั้น 
ไม่ได้มุ่งหวังจะเอาอะไร
แต่ฝึกฝนเพื่อ....
วางเฉยได้ต่อญาน
วางเฉยได้ต่อปัญญา
วางเฉยต่อสังขาร
(สิ่งปรุงแต่ง)
ทั้งหลายได้
จึงเหนือโลก
เพราะ...ทั้งญานทั้งปัญญา..เดี๋ยวก็เสื่อม
จงอยู่เหนือ
ทั้ง เจริญ ...ทั้งเสื่อม
จงอยู่เหนือ
ทั้งดี...ทั้งชั่ว
วางเฉยทุกสังขารคือการปรุงแต่ง
...ท่านก็สิ้นทุกข์....
จบแค่นั้นเอง เช่นนั้นเอง
เมื่อใด..เปลี่ยน
มาเป็นผู้มองดูเฉยๆ
นั้นแหละที่เรียกว่า
"วิปัสสนา" 
หรือ 
การเห็นแจ้ง
มีแต่ผู้ที่ตื่นและเท่าทันความคิดตนเอง
แล้วเท่านั้น 
จึงจะมองทุกอย่างทะลุ 
จนทำงานใหญ่ให้สังสารวัฏได้

อาม่า#พระเชนเรซิก#

วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

พุทธานุภาพ


เชนเรซิก...ลูกพ่อ
พุทธกายของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ 
เกิดจากมหาปนิธาน และพระคุณอันมหาศาล
ของเหล่าบุคคลที่เรียกว่า
"พระโพธิสัตว์"
มาก่อนทั้งสิ้น

ผู้ที่มีจิตตั้งมั่น สั่งสมความดีงาม ยาวนาน อันไม่มีประมาณ 
จนกำลังของจิตนั้น เข้มแข็งและบริสุทธิ์
และจิตที่บริสุทธิ์นั้นก็ต้องประกอบด้วยปัญญาญาน และมหากรุณา 
อันประมาณมิได้ด้วยมหาปัญญา มหากรุณา 
เป็นพลังงานทางจิตที่สามารถสำแดงเป็นรูปลักษณ์อะไรออกมาก็ได้ 
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเกื้อกูล
และรูปลักษณ์ในรูปแบบพระพุทธเจ้า
ก็มาจากพลังงานทางจิตอันไม่มีที่สุดนั้น
ความต้องการช่วยเหลือสรรพสัตว์
เป็นธรรมชาติธรรมดาอยู่แล้วของบุคคล
ที่มีเชื้อแห่งโครตวงศ์คือหน่อเนื้อพุทธางกูร
และธรรมชาติแห่งการออกเกื้อกูลสรรพสัตว์นั้น 
ก็เกิดจากการหยั่งเห็นความจริงของการอิงอาศัยซึ่งกันและกัน(ตถตา)
สิ่งนี้ บ่มเพาะจากสติปัญญาอันหล่อหลอมมายาวนานในสังสารวัฏ 
เห็นความจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความจริงจึงไม่สามารถแยกขาดจากปัญญา
และเพราะมีปัญญา จึงเห็นความว่างใน"ความมี"
ในขณะเดียวกัน ก็เห็นความมีใน"ความว่าง"

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนอาศัยกันเพื่อการมีอยู่
ไม่มีอะไรโดดเดี่ยวจากสิ่งอื่นได้ เช่น

ถ้ามนุษย์ไม่มี"จิต"ไปสัมผัส วัตถุทั้งหลายในโลกก็ไร้ความหมาย
แม้พุทธกาย แห่งพระพุทธเจ้า 
ก็มีได้เพราะเหตุปัจจัยกำหนดมาเช่นกัน 
ไม่ใช่ภาวะลอยๆแยกขาดจากทุกสิ่ง
ดังนั้น 
การมีพระพุทธเจ้าอุบัติในโลก 
ก็เพราะ มีบุคคลที่มีภาวะแห่งจิตอันยิ่งใหญ่พอ 
ที่จะกล้าข้ามผ่าน และรองรับทุกข์กายทุกข์ใจของสรรพสัตว์ ที่เรียกว่า 
"พระโพธิสัตว์นั่นเอง"
***จึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะกราบพระพุทธเจ้า แล้วปฏิเสธพระโพธิสัตว์****
เพราะถ้าบุคคลใดคิดเช่นนั้น 
เขาก็ยังเป็นผู้ที่ร่วงหล่นทวิภาวะ จิตยังตกอยู่ในการแบ่งแยก
และเข้าไม่ถึง อิทัปปัจยตาหรือธรรมปฎิจสมุปบาท 
ธรรมะแห่งการอิงอาศัยเลย

ลูกพ่อ...
จงอย่าใส่แก่นสารใดๆลงในวิมุตติธรรม หรือปรมัตถ์ธรรม 
แล้วเส้นทางของเจ้าจะไร้ทิฐิธรรมใดๆ 
หยั่งอยู่ในความว่างหรือสุญญตาวิหารธรรม
และวิหารธรรมนี้จะเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงสังสารวัฎนี้ 
โดยมีมหาปัญญา มหากรุณาและมหาอุปายะเป็นฐานอันมั่นคงไม่คลอนแคลน
3สิ่งนี้ เมื่อมาหลอมรวมกันจะเกื้อกูลสังสารวัฏได้
 หรือที่เรียกกันว่า
"พุทธานุภาพ"
นั่นเอง
#โอวาทธรรม จากพระบิดาอมิตภะตถาคตเจ้า#
ในภาพอาจจะมี 1 คน
 ความยากลำบากของพระองค์ท่าน 
ใช่แต่ภพชาติที่เป็นพระพุทธเจ้า

หากแต่ยาวนาน หลายกัปปกัลล์
เรา แค่ เศษ "รอยบาท"
ที่ท่านเคยเดินผ่าน


รถฟรี!!!ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
เนื่องจาก เลขาอาม่าแจ้งมาว่า 
มีคนสอบถามมามากเรื่องมีค่าใช้จ่ายไหม
ในการลงชื่อร่วมเดินทางไปกับรถทอดผ้าป่าที่ราชบุรี

จัดรถฟรีค่ะ 
และขากลับถ้ามีเวลา จะแวะเที่ยวไหว้พระ วัดหนองหอย ราชบุรีด้วย
***อาจมีน้ำ ขนม เลี้ยงบนรถ หากมีเจ้าภาพอิอิ
และค่าเหมารถนี้ ก็มิได้นำเงินทำบุญมาจัดแต่อย่างใด 
(เงินร่วมบุญทุกบาททุกสตางค์จะเป็นเงินสร้างศาลาเปรียญธรรมทั้งหมด)
เพราะได้รับการอนุเคราะห์จาก
ท่านจูกัดเหลียง(ขงเบ้ง)
เป็นเจ้าภาพจัดรถทัวร์บุญครั้งนี้ให้

รถจะรับสองจุดนะคะ 
คือเริ่มต้นจากสมุทรปราการและแวะรับที่ปั้ม ปตท พระราม2 เวลา 8.00 น
ส่วนผู้ที่ขับรถไปเองก็ตามแผนที่ที่อาม่าแนบมาในโพสต์
ตอนนี้เหลือที่นั่ง จำนวนจำกัด 
ใครจะร่วมเดินทางกับรถทัวร์ที่คณะจัด 
ให้แจ้งรายชื่อมานะคะ
(อนุญาติพาครอบครัวไปได้ แต่ต้องแจ้งค่ะ)

สาธุการ กับสะพานบุญ 
เจ้าภาพที่ใช้นาม
"ขงเบ้ง"
ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน 
สาธุค่ะ
ติดต่อเลขา ***คุณแป๋ว
เบอร์โทร 086-8813589,084-6564949
และเบอร์061- 9242626
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

เปิดพลังแห่ง ความสุข.............

การให้เกียรติสิ่งรอบตัวถือเป็นการเปิดพลังแห่งทัศนคติใหม่ และยังเสริมการมองเห็นทัศนวิสัย ให้ก้าวสู่โลกที่มีคุณค่า และนอกจากนี้ยังทำให้คุณตื่นขึ้นมาเห็นความจริงรอบตัว ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็น และรับรู้คุณค่าของสิ่งรอบตัวเรา หรือสังคมของเรา แล้วเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ควรรัก รักในสิ่งที่ให้ความรู้สึกดีๆที่ตอบแทนมาอย่างมีคุณค่าจริงๆ มันจะช่วยฉุดดึงให้คุณหลุดออกจาก อดีตที่เจ็บช้ำหรือแม้แต่ความยึดติดใดๆก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งรอบตัวบางอย่างหรือหลายๆอย่างนั้น คุณอาจไม่เคยแยแส แม้แต่ก่อนที่จะพบเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ
คำว่า “การให้เกียรติ” คำๆนี้คือวิถีคือครรลองที่สังคมของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงในทางโลก ย่อมที่จะพัวพันกับภาวะของการให้เกียรติอยู่กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้เกียรติต่อ บุคคล ให้เกียรติต่อสัญลักษณ์ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ ให้เกียรติต่อสิ่งที่ยึดถือ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีบุญคุณ ในชีวิตเราและชีวิตท่านวันนี้คุณให้เกียรติคนที่คุณ "เกลียดชัง" พวกเขาแล้วหรือยัง.......

" โลกนี้จะร่มเป็นสุข อยากให้โลกนี้ดีงาม ให้เริ่มต้นที่ ใจ ตนเองเป็นอันดับแรก "

Glitter Photos

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์