วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

"สังขารุเปกขาญาน"


สวัสดี...วันมาฆะบูชาค่ะลูกๆ

หลักๆ ของโอวาทพระพุทธองค์
ในวันนี้มี3ข้อคือ

การไม่ทำบาปทั้งปวง

การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตให้บริสุทธ์

2 ข้อแรก 
ก็เป็นหลักพื้นๆ ที่ลูกๆ ปฏิบัติกันอยู่แล้วเป็นส่วนมาก
อาม่าจึงขอยกข้อที่ 3 นี้มา 
ว่าการทำจิตให้บริสุทธิ์ ข้อนี้สำคัญมาก
ในบรรดา ญานทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
ญานที่สำคัญที่สุดคือ

ญานที่ 9 
"สังขารุเปกขาญาน"
เพราะเป็นญานขึ้นสุดท้าย
ก่อนที่อริยมรรคจะเกิด
ถ้าข้ามพ้นญานนี้ได้ ก็ก้าวสู่ 
"โคตรภูญาน"
ญานที่เปลี่ยนปุถุชนเป็นอริยะ
สังขารุเปกขาญานนี้ 
คือญานที่วางเฉยในสังขารทั้งหลาย
เห็นความเท่าเทียมกันของทุกสภาวะ 
ว่าแตกดับเหมือนกับ มายาเหมือนกัน
ตอนแรก 
แค่เห็นความจริง ก็ดิ้นรนหาวิธีจะหลุดพ้น
แต่เมื่อหมุนไป หมุนมา หลังชนฝา ก็ยอมรับได้
เข้าใจความจริงได้ ก็วางเฉยได้

บุญก็งั้นๆ บาปก็งั้นๆ เกิดแล้วดับ 
เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งเหมือนกัน

สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว 
ชอบ อร่อย ดี ไม่ดี ชั่วคราว
กุศลหรืออกุศล 
ทั้งความหลงหรือปัญญา 
ก็เท่าเทียมกัน
ความเป็นทิพย์ ทั้งสมาธิ ตบะ ฌาณ ญาณ
ก็เป็นความหลงในความคับแคบในมิติ

วางเฉยในสังขารทั้งหลายได้ 
จึงจะเหนือโลก
ไม่ต้องปฎิบัติ
"เพื่อเอาความเจริญ "
เพราะเดี๋ยวความเจริญก็เสื่อม

ไม่ใช่ปฎิบัติ " หนี" ไม่ดี เพื่อจะเอาดี 
เพราะความดีก็ยังติดอยู่ในโลก 
ยังเป็นทุกข์นั่นแหละ

เหนือทั้งดี ทั้งชั่ว 
ก็ก้าวสู่โลกุตตระ
"สัพเพ ธัมมา วิมุตติ สารา"
ธรรมทั้งปวงมีวิมุตติเป็นแก่น
หรือ ไม่มีแก่นแท้เลยก็สูญญตา

#โอวาทอาม่า#(พระเชนเรซิก)

ญานขั้นสุดท้าย 
ก่อนที่อริยมรรคจะเกิด 
เรียกว่า
"สังขารุเปกขาญาน"
ปัญญาขั้นนี้
คือปัญญาวางเฉยในสังขาร
(การปรุงแต่ง)
ทั้งปวง

ตอนแรก
ตื่นจากฝัน 
รู้ความจริงแต่ยังไม่วางเฉย
ยังดิ้นรนหาวิธีหลุดพ้น
วนไปวนมา ไม่สิ้นสุด
ยังกดข่ม ต่อต้าน กำจัดสังขารต่างๆ

ต่อเมื่อ
หลังชนฝา ดิ้นรนจนเหนื่อยเริ่มเฉยๆ
ปัญญาก็พลิกมองเห็นว่า
การปรุงแต่งทั้งปวงล้วนเกิดเพื่อดับ
ความติดข้องในโลกกับความอยากหลุดพ้น 
เหมือนกัน
กุศลกับอกุศล เท่าเทียมกัน
ใจเป็นกลาง วางเฉยต่อสังขาร 
การปรุงแต่งทั้งหลายได้

เมื่อนั้น 
ปัญญาจึงจะสมบูรณ์ข้ามพ้นทวิภาวะ(ของคู่) 
อริยมรรคก็เกิดขึ้น
ข้ามโครตภูญานสู่อริยบุคคล
ยังแสวงหาไม่สิ้นสุด 
ก็ยังข้ามโครตไปสู่ความเป็นอริยบุคคลไม่ได้
เพราะญานทัศนะ ของพระอริยเจ้า 
คือ
"ตถตา"
ทุกสิ่งเป็น...เช่นนั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปิดพลังแห่ง ความสุข.............

การให้เกียรติสิ่งรอบตัวถือเป็นการเปิดพลังแห่งทัศนคติใหม่ และยังเสริมการมองเห็นทัศนวิสัย ให้ก้าวสู่โลกที่มีคุณค่า และนอกจากนี้ยังทำให้คุณตื่นขึ้นมาเห็นความจริงรอบตัว ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็น และรับรู้คุณค่าของสิ่งรอบตัวเรา หรือสังคมของเรา แล้วเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ควรรัก รักในสิ่งที่ให้ความรู้สึกดีๆที่ตอบแทนมาอย่างมีคุณค่าจริงๆ มันจะช่วยฉุดดึงให้คุณหลุดออกจาก อดีตที่เจ็บช้ำหรือแม้แต่ความยึดติดใดๆก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งรอบตัวบางอย่างหรือหลายๆอย่างนั้น คุณอาจไม่เคยแยแส แม้แต่ก่อนที่จะพบเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ
คำว่า “การให้เกียรติ” คำๆนี้คือวิถีคือครรลองที่สังคมของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงในทางโลก ย่อมที่จะพัวพันกับภาวะของการให้เกียรติอยู่กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้เกียรติต่อ บุคคล ให้เกียรติต่อสัญลักษณ์ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ ให้เกียรติต่อสิ่งที่ยึดถือ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีบุญคุณ ในชีวิตเราและชีวิตท่านวันนี้คุณให้เกียรติคนที่คุณ "เกลียดชัง" พวกเขาแล้วหรือยัง.......

" โลกนี้จะร่มเป็นสุข อยากให้โลกนี้ดีงาม ให้เริ่มต้นที่ ใจ ตนเองเป็นอันดับแรก "

Glitter Photos

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์