เพราะความทุกข์ทั้งมวลของมนุษย์
มีมูลรากมาจาก ตัณหา อุปาทาน ความทะยานอยากดิ้นรน
และความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเราทั้งสิ้น
รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่างๆ
สิ่งใดก็ตามที่เข้าไปเกาะเกี่ยว
ยึดถือไว้โดยความเป็นตน เป็นของตน
แล้วจะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นเป็นไม่มี
หาไม่ได้ในโลกนี้
เมื่อใดบุคคล
เห็นสักแต่ว่าได้เห็น
ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง
รู้สักแต่ว่าได้รู้
เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ
"เพียงสักว่าๆ"
ไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา
เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความยึดถือต่างๆ
เมื่อมองดูโลกนี้
โดยความเป็นของว่างเปล่า
มีสติอยู่ทุกเมื่อ
ถอนอัตตานุทิฏฐิ
คือความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย
ชีวิตจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวล
ยิ้มได้แม้ยามหลับหรือตื่น
ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่า
"การปล่อยวาง และการสำรวมตนอยู่ในธรรม”
ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ
และ ความสุขชนิดนี้
สามารถหาได้ในตัวเรานี้เอง
ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่น
แสวงหาความสุขจากที่อื่น
เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย
มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นไว้
เพื่อให้ตัวเองวิ่งตาม
แต่ก็ตามไม่เคยทัน
การแสวงหาความสุข
โดยปล่อยใจ ให้ไหลเลื่อน
ไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น
เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย
เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่
เพื่อต้องการปลาเล็กๆ เพียงตัวเดียว
มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับ
เรื่องกิน เรื่องกาม และเรื่องเกียรติ
จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง
ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา
สิ่งนั้นคือ ดวงจิตที่ผ่องแผ้ว
เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน
เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา
และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้
เมื่อมีเกียรติมากขึ้น
ภาระที่ต้องแบกเกียรติ
เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์
ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว
ในหมู่ชนที่เพ่งมองแต่ความแต่เจริญทางด้านวัตถุนั้น
จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา
ไม่เคยประสพความสงบเย็นเลย
เขายินดีที่จะมอบตัว
ให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตา
เขาพากันบ่นว่าหนักเหน็ดเหนื่อย
พร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหิน
วิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง
อานุภาพแห่งพุทธานุภาพ
ที่อาม่าน้อมนำมาคลี่คลาย
ปลอบประโลมเวไนยทั้งกายและใจนั้น
ก็เพื่อเข้าอนุโลม ปวงสัตว์เข้าสู่พระโพธิญาน
สิ่งที่องค์อวโลฯ
ท่านเน้นอาม่าเสมอคือสอนธรรมะ
ให้สติลูกหลานว่า
"เวลาแห่งชีวิตมันนับถอยหลัง มิได้เดินหน้าอย่างที่มนุษย์หลงกันอยู่"
จงพลิกจิตมนุษย์ให้กลับมามองความจริง
ว่าเราต่างเป็นหม้อดินที่รอวันแตก
รู้จักตนเองจนถึงที่สุด ก็จะเท่าทันชีวิต
ไม่เป็นเหยื่อของอวิชชาและมิจฉาทิฐิใดๆ
โอวาทธรรมยามเช้า(พระเชนเรซิก)
18 กุมภาพันธ์ 2560
จิต ที่ติดสมมุติเป็นอย่างไร
ตามธรรมชาติ จิตปรุงแต่งเสมอ
ก็ปล่อยให้เขาปรุงไปเถิด
หน้าที่เขาตามธรรมชาติ
ย่อมตัดสิน
สมมุติให้ค่าไปในทางหนึ่งทางใดเสมอ
เช่นพอมองใคร ก็ปรุงแต่งทันที
ผู้หญิง ผู้ชายวะ
รวย ไม่รวย สวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ
ถ้าเป็นสิ่งของ
ก็ดีไม่ดี ถูกไม่ถูก แพง ไม่แพง
เป็นการสมมุติซ้อนสมมุติอีกที
แต่การรู้โดยธรรม
เรียกว่ารู้อย่างปรมัตถ์
การรู้แบบปรมัตถ์
คือรับรู้อย่างวางเฉย
ได้ยินก็แค่ได้ยิน เห็นก็แค่เห็น
รู้แต่เฉยๆ
เพิกถอนสมมุติบัญญัติ
ความยินดียินร้ายจะน้อยลง
ความทุกข์ก็จะลดน้อยลง
การปรุงแต่งเหล่านั้น
ก็แค่อาการของจิต ที่เราควรรู้เท่าทัน
ดังนั้น
เราไม่ควร เห็นอะไรเป็นอะไร
เพราะความคิดนั้น ไม่ใช่ความจริง
ถ้าเราอยู่เหนือความคิด
เราก็จะอยู่กับความจริง มองเห็นอย่างเท่าทัน
"ทุกสิ่งล้วนเป็นอย่างที่เป็น
แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราสมมุติให้มันเป็น"
ตถตา......ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อเธอไม่มี
โลกนี้ โลกหน้า ไม่มี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น