วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พระแม่ทาราเขียว มหาโพธิสัตว์



** พระแม่ทาราเขียว มหาโพธิสัตว์ **
  • ผู้เป็นพระแม่แห่งจักรวาล จะคอยปกป้องคุ้มครองสรรพชีวิตไว้ในอ้อมกอดอันเปี่ยมไปด้วยความรักของพระนาง ดั่งมารดาปกป้องบุตร พระแม่กรีนทาราคือหลักประกันทางจิตวิญญาณของเราในการต่อต้านภยันตรายทั้งมวลและเจตนาร้ายต่างๆ "
  • มหาโพธิสัตว์อารยาตารา ภาษาทิเบต: เจซูน เตรอมา ภาษาสันสกฤตคือ ตารา ( มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า ดารา ) ถึง 
  • " ผู้นำทางไปสู่การหลุดพ้น " เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณา ทรงกำเนิดจากน้ำพระเนตรของพระอวโลกิเตศวร เมื่อครั้งที่ทรงพระกรรแสงเนื่องจากทรงไม่สามารถช่วยเหลือสัตว์ทั้งโลกทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ได้ พระโพธิสัตว์ตาราทรงเป็นที่รักและกราบบูชาของชาวพุทธในทิเบต หิมาลัยและมองโกเลีย พวกเขามักสวดคาถาหัวใจ 
  • " โอม ตาเร ตุตาเร ตุเร โซฮา " และสวดบทสรรเสริญตารา ๒๑ องค์
  • แม้เราจะเรียก พระแม่ตารา ว่าเป็น พระโพธิสัตว์ แต่เพราะทรงหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายและเข้าถึงการรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ เราจึงสามารถเรียกพระองค์อีกอย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้า แต่สาเหตุที่พระองค์ยังได้รับการขนานนามว่า "พระโพธิสัตว์" ก็เพราะทรงตั้งมหาปณิธานที่จะไม่จากสังสารวัฏไปเพื่อการนิพพานจนกว่าสัตว์โลกไม่เว้นแม้แต่หนึ่งเดียวจะหลุดพ้นจากความทุกข์และเข้าถึงการตรัสรู้
  • ในหมู่ชาวทิเบต และ ผู้ปฏิบัติในวิถีแห่ง พุทธวัชรยาน ไม่มีใครไม่รู้จักพระแม่ตารา รูปบูชาของพระองค์ในปางต่าง ๆ ปรากฏอยู่ในวัดเกือบทุกวัด และตามบ้านเรือนของพุทธศาสนิกชน พระโพธิสัตว์ตาราทรงมี ๒๑ ปาง แต่ปางที่รู้จักกันแพร่หลายคือ ตาราเขียว ( ขทิรวนีตารา ) และตาราขาว ( จินดามณีจักรตารา ) ตาราเขียวเป็นปางคุ้มครองนักเดินทางจากภัยอันตราย ทรงประทานพรให้พ้นจากความทุกข์ ความกลัว และดลบันดาลให้การงานสำเร็จโดยเร็ว

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พระพุทธเจ้าตรัสว่า... ทศทิศโลกธาตุมีมากมาย

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
ทศทิศโลกธาตุมีมากมาย
  • และโลกธาตุเหล่านั้น ทุกข์น้อยอบายน้อย หมู่สัตว์อบรมง่าย
  • จะมีแต่โลกธาตุที่มีความเสื่อม5ประการนี้เท่านั้น ที่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง(โลกของเรา)
  • เรา!!"ตถาคตจึงมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกใบนี้
  • พระโพธิสัตว์และหมู่สัตว์ที่บำเพ็ญที่โลกอื่น แม้ชั้นพรหม
  • ยังมีกุศลบารมีเทียบไม่ได้เลย 
  • กับผู้ที่อยู่ในสหาโลกธาตุนี้ แล้วมีจิตเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์แค่ชั่วฟ้าแลบ
  • เหล่าโพธิ อย่าท้อถอย อย่าคิดถึงบ้าน
  • จงภูมิใจที่เรามาทำหน้าที่เป็นลูกหลานพระพุทธองค์
  • จงช่วยกันหมุนกงล้อแห่งธรรมจักรเถิด
  • ความเสื่อมแห่งพุทธศาสนานั้นทรง
  • แบ่งไว้5ประการ ดังนี้
  • 1.เสื่อมเพราะทิฐิ เมื่อมิจฉาทิฐิรุ่งเรือง กุศลกรรมอันดีมิอาจเจริญได้
  • 2.เสื่อมเพราะกิเลสเมื่อสรรพสัตว์ไร้ปัญญาถูกครอบงำด้วยตัณหาจนหลงในวัตถุเกิดความโลภกอบโกยจนเบียดเบียนกันอย่างไร้ศีลธรรม
  • 3.ความเสื่อมเพราะสัตว์ คือไม่รู้กตัญญูและไม่ละอายต่อบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และทำร้ายผู้ทรงศีล
  • 4.ความเสื่อมเพราะอายุเพราะมีอกุศลกรรมเพิ่มพูน จึงบั่นทอนอายุขัยมนุษย์ให้สั้นลงๆๆ
  • 5.ความเสื่อมแห่งกัลป์ คือการดำรงของกัลป์สลายลง จากอุทกกภัย อัคคีภัย โรคาภัย และวิบัติภัยทั้งปวง
  • แต่หัตถ์แห่งเหล่าโพธิ จะหมุนกงล้อแห่งธรรมจักร ให้ขับเคลื่อนจนถึงสิ้นพุทธันดร
  • การหมุนธรรมจักร ของพระโพธิสัตว์เป็นเช่นไร
  • อริยญานซึ่งเป็นพุทธิภาวะ จะหมุนธรรมจักรด้วยการแสดงในรูปแบบความเมตตา
  • ความเมตตาที่นอกเหนือจากการคิดถึงตน
  • การหลงลืมแล้วซึ่ง...ตนเอง
  • การละเลยแล้วซึ่ง...ตนเอง
  • การมีความกรุณาบริบูรณ์ต่อสิ่งทั้งปวงคือจุดกลับตัวของ"การบำเพ็ญทั้งหมด"
  • เมื่อจุดกลับตัวอันลึกซึ้งนี้ปรากฎ
  • "ภาวะตถาคต"
  • ซึ่งเป็นอริยญานเพื่อความหลุดพ้นของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
  • ก็จะแสดงอานุภาพออกมา
  • นั้นแล...คือนิพพานล่ะ

ปล่อยจิตเดิมแท้ให้เป็นธรรมชาติของมัน ในสภาพความเป็นเช่นนั้น เราก็อยู่ใน"สมาธิ"ตลอดเวลา

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน
  • เสร็จสิ้น ภารกิจ วาระนี้ 
  • ก่อนเดินทางกลับ ขอแสดงความขอบใจลูกๆสำหรับการรับรอง และดูแลเป็นอย่างดี
  • ขอให้ลูกอาม่า ใช้ชีวิตอย่างเท่าทันทุกข์ สงบเย็นและเป็นประโยชน์ เจอกันเดือนหน้านะคะในทริป"พาลูกกราบพ่อ" เพชรบุรีิ
  • อาม่าภูมิใจที่ลูกๆอาม่ามีปัญญา เข้มแข็งและทำมาหากิน ทำหน้าที่ถูกต้องตามเหตุปัจจัย
  • ขอให้ลูกๆอย่าแยกชีวิตออกจากธรรม ดำเนินชีวิต ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา หลอมรวมในชีวิตจริงที่ดำรงอยู่ และอย่างที่อาม่าได้แสดงธรรมเสมอว่า
  • สมาธิและปัญญาของพระโพธิสัตว์
  • ไม่เคยแยกออกจากกัน
  • อยู่ในความว่าง...โดยไม่ตัดขาด
  • อยู่ในความไร้...โดยไม่ดับสูญ
  • ทุกขณะล้วนดำรงอยู่ในสมาธิ
  • ที่ไร้ร่องรอย ...
  • การไป การมา การเข้า การออก
  • แค่ทำใจให้ว่าง แต่ไม่ใช่ไม่มีอะไร
  • แค่ให้ใจได้ทำหน้าที่อย่างอิสระ
  • โดยเราไม่ได้ควบคุม
  • หรือเป็นเจ้าของในทุกอิริยาบถ
  • ไม่ต้องไปคิดเรื่องหลุดพ้นไม่หลุดพ้น
  • ไม่ต้องไปคิดอยากเป็นปุถุชนหรืออริยะ
  • ไม่ต้องไปคิดว่ามีการกระทำ ผู้ถูกกระทำ สิ่งถูกกระทำ
  • ปล่อยจิตเดิมแท้ให้เป็นธรรมชาติของมัน ในสภาพความเป็นเช่นนั้น
  • เราก็อยู่ใน"สมาธิ"ตลอดเวลา
  • และสมาธิชนิดนี้นี่แหละ ที่เป็นกัมมนีโย คือควรค่า แก่การงานและการพิจารณาธรรม
  • #อาม่า#พระเชนเรซิก

สิ้นโลกเหลือธรรม

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป
ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ

อาม่าก็ทำค่ะ 
ได้เงินโอนไปวัดพระบาทน้ำพุ
กับมูลนิธิ เด็กพิการซ้ำซ้อน

พุทธโพธิจริยา...นั้นยิ่งใหญ่เสมอ

ในภาพอาจจะมี 2 คน, สถานที่กลางแจ้ง
  • พุทธโพธิจริยา...นั้นยิ่งใหญ่เสมอ
  • ลูกรัก...คราใดที่เจ้าปรารถนาพ้นทุกข์
  • และสรรพสัตว์เป็นสุข
  • โพธิจิต....คือที่สุดของทุกสิ่ง
  • ลูกรัก...
  • เมื่อโพธิจิตอุบัติแก่เจ้าแล้ว
  • แม้เจ้ายังเกี่ยวข้องในกิเลสและวัฏสงสาร
  • เจ้าก็ยังได้รับการยอมรับและเคารพจากมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
  • ลูกรัก...แม้เจ้าเคยเป็นคนบาปชั่วร้าย
  • แค่โพธิจิตอุบัติกลางใจเจ้าแค่ชั่วฟ้าแลบ
  • เจ้าก็จะกลายเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่เดี๋ยวนั้นเลย
  • ลูกรัก...
  • วิถีแห่งโพธิจิต ประเสริฐยิ่งใหญ่ดุจห้วงน้ำในจักรวาล
  • ส่วนวิถีอื่น เป็นแค่พรรณไม้ที่ยังต้องอาศัยน้ำอยู่
  • จำไว้นะลูก "โพธิจิตนี้"หากผู้ใดมีและครอบครอง
  • เขาย่อมนำประโยชน์มาสู่สรรพสัตว์อันหาประมาณมิได้
  • และเขาจักสุขสมบูรณ์ทุกขณะ
  • ไม่ว่าหลับ หรือตื่น

ในภาพอาจจะมี 2 คน, คนที่ยิ้ม, เด็ก และ สถานที่กลางแจ้ง
  • รักของพระโพธิสัตว์มิได้จำกัดอยู่ที่บุคคลใดเพียงบุคคลเดียว และยังข้ามผ่านความรักในตัวตนของตนอีกด้วย
  • 💞💞ยังปิติไม่หาย ภาพเหตุการณ์ที่เด็กกำพร้าน้อยๆคนหนึ่ง ตะโกนเรียกแล้ววิ่งมาแต่ไกล
  • เพื่อขออ้อมกอดจากอาม่า ขอความอบอุ่น ขอนั่งตักเพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตเขา
  • ดีใจที่ได้มาบริจาคทำบุญ
  • ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งค่าอาหารเจ้า
  • ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งค่าขนมไปโรงเรียนของเจ้า
  • ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบนักเรียนของเจ้า
  • ดีใจที่ได้มีส่วนในชีวิตน้อยๆของเจ้า
  • อาม่ายังมุ่งมั่นเดินตามฝันที่จะบำเพ็ญประโยชน์ต่อไป 
  • ทั้งที่บำเพ็ญมาแล้วในทุกกิจกรรมที่ผ่านมา
  • และที่จะทำต่อไปในกาลข้างหน้า 
  • ให้สมกับที่ อุบัติมาในโลกใบนี้ เพื่อให้คนหมั่นใส้เล่น
  • #ทุกภาพทุกโพธิจริยาจะอยู่ในหัวใจตลอดกาล#
  • แม้หญ้าทุกเส้น ก็จะเข้าสู่ สภาพเดิมแท้แห่งพุทธะ
  • นามธรรม และ รูปธรรม
  • การแสดง อาจถูกแบ่งแยกเป็น2ส่วน
  • แต่แท้ที่จริง มันรวมอยู่ในสิ่งเดียว 
  • นั้นคือ รวมอยู่ในความคิด(การปรุงแต่งแบ่งแยกของมนุษย์)
  • และ..ความคิดจะเป็นจริงได้ 
  • ก็ด้วยการนำเอาออกมาใช้เท่านั้น
  • คนเรานั้น จริงๆแล้วก็เหมือนพี่น้องกันทั้งหมด
  • ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
  • มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม
  • ชีวิตทุกรูปนาม ย่อมเฉลี่ยแบ่งออกมาจากเนื้อแท้อันเป็นนิรันดร์(นิพพาน)
  • ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดล้วนมีชีวิตอยู่และไม่มีความตาย
  • นอกจากจะเปลี่ยนสภาพจากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่งเรื่อยๆเท่านั้น
  • เอกภพ จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของกฎธรรมชาติ
  • แต่"ความรัก" คือการปฎิบัติตามกฎของธรรมชาติอย่างแท้จริง
  • ความรักคือธาตุประสาน สรรพสิ่งทั้งปวงที่กำลังหลอกลวงตัวเองว่าแยกกันอยู่ ให้กลับมารวมกัน
  • แต่ท้ายที่สุด ทุกสรรพสิ่งก็จะรู้ตัวว่าเราคือหนึ่งเดียวกันทั้งหมด เมื่อแจ้งในธรรมตถตา เช่น"พระตถาคต"
  • ส่วนการคิดว่าจะแบ่งแยกตน ออกไป เดินทางคนเดียว
  • คือความคิดที่นอกวิถี นอกเส้นทาง
  • และนอก"เอกยาน"แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น
  • อาม่า#พระเชนเรซิก#
ในภาพอาจจะมี 2 คน, คนที่ยิ้ม, ข้อความ

วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มหาปนิธานของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์นั้น มุ่งหวังช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์

ในภาพอาจจะมี 6 คน, สถานที่กลางแจ้ง

  • มหาปนิธานของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์นั้น มุ่งหวังช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
  • แต่การโปรดนั้น จะมีข้อยกเว้น อันได้แก่
    • ผู้ที่สร้างอนันตริยกรรม 
    • ผู้ที่ฆ่าคุรุแห่งตน
    • ผู้สมาทานพุทธศาสนาแล้วกบฏพุทธศาสนา
    • ผู้ติฉินนินทาพระสัทธธรรม
    • ผู้ทำลายล้างพระพุทธศาสนา
  • นอกจากนี้แล้ว ขอเพียงพลิกจิต สำนึกในบาปบุญ แล้วหันหน้ามาขอความกรุณา ย่อมได้รับการคลี่คลายโอบอุ้ม และคุ้มครองจากพุทธานุภาพแห่งพระองค์ เสมอ

#อาม่า พระเชนเรซิก#

โลกียะ และโลกุตตระ นั้นอยู่ด้วยกัน ตั้งปรากฎเป็น"ธรรมคู่"

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ

  • โลกียะ และโลกุตตระ นั้นอยู่ด้วยกัน ตั้งปรากฎเป็น"ธรรมคู่" ซ้อนกันอยู่
  • ผู้ที่มองอย่างโลกียะ ก็จะมองสิ่งนั้นสิ่งนี้แตกต่าง และเข้าไปจับฉวยด้วยใจ สะท้อนออกมาเป็นความรัก ความชัง แล้วปรุงแต่งเป็นความสุข ความทุกข์ โคมไฟฟ้า โต๊ะ ตู้ หนังสือ คน สัตว์ ล้วนแตกต่าง
  • แต่............
  • ผู้ที่มองอย่างโลกุตตระ ย่อมมองเห็นทุกสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันหมด
  • ไม่ว่า โคมไฟฟ้า โต็ะ ตู้ หนังสือ คน สัตว์ คือมองเห็น สามัญญลักษณะ ของสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงเป็นอนัตตา เป็นความหมุนเวียนของธาตุทั้งหลาย ตามเหตุปัจจัย
  • ล้วนน่าระอา หาสาระ ที่ไปหยิบฉวยยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้
  • ทั้งโลก...จึงมีแต่ความลวงของกฎขนาดและเวลาเท่านั้น
  • ความจริงกับความเท็จ 
  • ความดีกับความชั่ว สูงต่ำ บุญบาป
  • ก็เป็นแค่สังขตธรรมที่เกิดจาก จิตตสังขาร คือการปรุงแต่งของจิตนั่นเอง
  • ดังนั้น การมองโลกของพระอริยะเจ้า
  • ดั่งคำที่ว่า"โลกราบเป็นหน้ากลอง"
  • ไม่ใช่ต้นไม้ล้ม เสาไฟฟ้าล้ม หรือปาฎิหารย์โลกแบนอย่างที่เข้าใจ
  • แต่ในสายตาท่าน ทุกอย่างเป็น"ความว่าง"ที่เสมอเท่ากันหมด
  • ในลักษณะสามัญ ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
  1. #อาม่า#พระเชนเรซิก

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สอนคนอื่นได้ ตนเองต้องทำได้ด้วย

ในภาพอาจจะมี 1 คน, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

  • พระโพธิสัตว์นั้น ล้วนมีจิตวิญญานแห่งความเป็นครูสูงส่ง เกินกว่าที่จะแปดเปื้อน หรือโดนวางยาด้วยยาพิษ แห่ง การมี การเป็น อันเป็นเหยื่อที่ใช้วางกับดักสัตว์โลกทั่วไปได้
  • ด้วยจิตวิญญานแห่งความเป็นครู ที่สั่งสมมาหลายภพชาติ นอกจากไม่ถูกวางยาแล้ว ความเท่าทันนั้นยังทำให้ไม่อาจวางยาลูกๆ
  • ด้วย การสอนให้ถือให้ยึด ให้หลง ในธรรมใดๆ แม้ธรรมนั้นหากหลงยึดแล้วจะนำมา เพื่อประโยชน์ตน
  • ความเป็นครูนั้น มีหลักสำคัญว่า
  • "สอนคนอื่นได้ ตนเองต้องทำได้ด้วย"
  • ใช่ว่า สักแต่ใช้สัญญาความจำมาพร่ำสอนโดยขาดสภาวธรรมที่ตนเองเข้าถึงและเข้าใจ
  • สิ่งที่นำความปลาบปลื้ม อันเป็นที่สุดของอาม่าในวันนี้ คือเห็นความแข็งแกร่ง และการมีภูมิต้านทานโลก อย่างพัฒนาของลูกศิษย์
  • หลายคนเคยอ่อนปวกเปียกเมื่อแรกเจอ แต่วันนี้ กลับเข้มแข็ง และลอยตนรู้เท่าทันความทุกข์ ทำมาหากิน ทำหน้าที่ถูกต้องตามเหตุปัจจัย
  • ปัญญาบารมีลูกๆพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เข้าใจโลกธรรม8 มีดวงตาเห็นธรรม มองเห็นไตรลักษณ์ อันเป็น สามัญลักษณะ
  • รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ แต่...ไม่ทุกข์
  • ที่สำคัญ สงบ เย็น และเป็นประโยชน์
  • นี่...คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่สำหรับอาม่าอย่างแท้จริง!!!
  • สถานธรรมใดเล่า จะอลังการและศักดิ์สิทธิ์ มีคุณค่าต่อการพักอาศัย
  • เท่ากับได้ "สถิต"ในหัวใจลูกๆ ในฐานะแสงสว่างแห่งโพธิธรรม

อาม่า#พระเชนเรซิก#

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พระอมิตภพุทธเจ้า วางพระหัตถ์ลง บนพระเศียรของ พระอวโลกิเตเศวร และรับสั่งว่า


  • พระอมิตภพุทธเจ้า วางพระหัตถ์ลง
  • บนพระเศียรของ พระอวโลกิเตเศวร
  • และรับสั่งว่า
  • " ณ บัดนี้ 
  • ลูกจะเป็นผู้ที่ทำให้จิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย 
  • ผู้ที่ยังไม่เจริญ ณ ดินแดนแห่งหิมะ อ่อนโยนลง
  • ที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งสามกาล 
  • ยังไม่เคยเสด็จไปแม้แต่พระองค์เดียว
  • นี่คือผลของการสวดอธิษฐานอย่างจริงใจ 
  • เพื่อวัตถุประสงค์ที่ลูกปรารถนา
  • สรรพสัตว์ที่มีทุกข์เหล่านั้น 
  • จะพ้นจากภูมิชั้นต่ำทั้งสาม
  • ทันทีที่พวกเขาเห็นกายอันศักดิ์สิทธิ์และอ่อนเยาว์ของลูก และได้ยินเสียงแห่งมนต์ 6 พยางค์ 
  • โอม ม ณี ปัท เม หุม
  • ขอให้โพธิจิตของลูก ไปปรากฏในจิตของ ผี ปีศาจ มาร
  • ขอให้พวกเขา แทนที่จะไปทำร้ายผู้อื่น 
  • มีจิตมุ่งมั่นพยายาม ในการทำประโยชน์แก่ผู้อื่น
  • ดุจดั่ง พระโพธิสัตว์
  • ขอให้สัตว์ ล่าเนื้อทั้งหลาย
  • อธิ เสือ เสือดาว หมี และ หมีหิมะ
  • ขอให้จิตของเขาละทิ้งจากการกินสัตว์อื่น
  • ไปสู่การมีความรักต่อกัน
  • ดุจความรักของบิดามารดา
  • เมื่อได้เห็น กายศักดิ์สิทธิ์ของลูก
  • และ ได้ยินเสียงมนต์ทั้งหกพยางค์
  • เทศน์สอนโดย
  • ตุลกู ดิลโก รินโปเช

ตำนานพระโพธิสัตว์ราหูเทพอสุรินทร์

ในภาพอาจจะมี สถานที่กลางแจ้ง

" ตำนานพระโพธิสัตว์ราหูเทพอสุรินทร์ "
  • ในบรรดาเทพนพเคราะห์ทั้ง 9 องค์นั้น มีเพียง.... #พระราหู พระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระโพธิสัตว์และได้รับการพยากรณ์แล้ว ....แม้ #พระอาทิตย์ และ #พระจันทร์ ผู้มีบุญญาธิการอันสูงส่ง ก็มิได้เป็นพระบรมโพธิสัตว์
  • เช่น #พระราหู ดังนั้น การนับถือ #พระราหู จึงมิใช่... การบูชาภูตผีปีศาจ
  • แต่เป็นการบูชาพระโพธิสัตว์ในรูปกายแห่ง #เทพอสูร อันเป็นคติสอนให้พิจารณาว่า " อย่ามองที่รูปกายภายนอก " แม้ว่ารูปกายแห่งพระราหูจะดูดุดันน่ากลัว แต่คุณธรรมภายในนั้นกลับตรงข้าม #พระราหู เป็นเทพอสูรที่บำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุพระโพธิญาณมานับชาติไม่ถ้วน ภายในจิตใจมีแต่ความปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์
  • สิ่งเลวร้ายในชีวิตมนุษย์นั้นย่อมเกิดจากผลกรรมเก่าและใหม่ที่ตนก่อไว้ .... เมื่อถึงเวลากรรมนั้นย่อมเป็นไปตามกลไกของมัน #พระราหูเทพอสุรินทร์ เป็นเพียงพยานแห่งการกระทำกรรมของมนุษย์ หาได้ให้ร้ายใคร
  • ส่วนเรื่องอิทธิฤทธิ์ของ #พระราหู นี้มีมากนัก แม้ว่าต่อมาจะเหลือร่างกายเพียงครึ่งเดียว แต่ก็ทรงตบะเดชะไม่เป็นสองรองใคร ซ้ำยังสามารถเข้าบดบัง #พระอาทิตย์ และ #พระจันทร์ ได้ ซึ่งอำนาจในการบดบังพระอาทตย์นี้
  • ครูบาอาจารย์บางท่านได้กล่าวสรรเสริญว่า ....แม้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงก็ยังมีพระราหูมาบดบังให้เยือกเย็น
  • ท่านจึ่งว่าพระราหูนั้นมีคุณในการ #ดับร้อนให้เป็นเย็น และมีอำนาจในการบังตาที่น่าอัศจรรย์
  • ในการอธิษฐานขอบารมีพระราหูที่ถูกต้องนั้นให้อธิษฐานอ้างเอาคุณพระศรีรัตนตรัยขึ้นก่อน จากนั้นอธิษฐานถึงพระราหูว่า ... " ขออำนาจบารมีพระอุสรเทพบรมพระโพธิสัตว์เสด็จพ่อพระราหู จงมาโปรดแก่ลูกด้วย "
  • แล้วทำการอธิษฐาน ทั้งนี้เพราะ #พระราหู นั้นมีเพศเป็นยักษ์และอยู่ในระดับอสูรเทพ และยังมีบารมีธรรม
  • เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จาก #พระพุทธเจ้า ว่าจะต้องสำเร็จมรรคผลโพธิญาณอย่างแน่แท้
  • พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์เช่นนี้จากพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็น #พระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้ บำเพ็ญบารมีถึงเส้นชัยแล้วจึงได้รับการขนานพระนามเป็นเกียรติว่า .... พระบรมโพธิสัตว์
  • การอธิษฐานอ้างถึงคุณงามความดีของพระราหูดังกล่าว จึงถือเป็นอาราธนาคุณของพระราหูทั้งด้าน #บุญฤทธิ์ และ #อิทธิฤทธิ์ พร้อมกันในตัว ..... " ถือเป็นสริริมงคลแก่ผู้ระลึกถึงเป็นอย่างมาก "

  • กินนุ สันตะระมาโน วะ ราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
  • สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะติฏฐะสีติ
  • สัตตะธาเม ผะเล มุทธาชีวันโต นะสุขัง ละเภ
  • พุทธะคาถาภิคีโต มหิโนเจ มุญเจยยะ จันทิมันติฯ

#โหราน้อย ขอ อนุโมทนาสาธุ ทุกท่านครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ไม่มีธรรม นั่นแหละธรรม

ในภาพอาจจะมี ไฟ และ ข้อความ


อั้วะไม่เข้าใจว่า คำสอนที่บอกให้ยึดนั่น ยึดนี่ 
ไขว่คว้าแสวงหา ไล่ตระครุบนั่น โน่น นี่
เป็นไปเพื่อการ"ดับทุกข์"ที่ตรงไหน
เท่าที่เห็นมีแต่การ"เพิ่มทุกข์"มากกว่า
เพราะต้องแบก ต้องระวัง ต้องรักษา
ต้องปฏิบัติ ต้องลุให้ถึง

ธรรมแท้นั้นไม่ต้องไปตั้งเป้าหมาย อะไรหรอกนะ
การอยากได้ อยากมี อยากเป็น
เป็นตัณหาอย่างหนึ่ง ที่ขัดขวางการตื่นต่อสัจจะ

สิ่งที่ต้องทำ คือการละ การสละ การวาง 
จนไม่เหลือแม้แต่ตัวตน เท่านั้น
เพราะ.....
พระนิพพานเป็นของว่าง
ไม่มีรูปลักษณ์ 
จับต้องไม่ได้ 
หาที่ตั้งไม่ได้ 
หาที่เปรียบไม่ได้

หาก...สลายอัตตาไม่ได้ 
จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน
(ความว่าง)ได้อย่างไร
มีแต่อุปาทานจิต 
หลอกตนเองไปวันๆว่าฉันคือผู้มีธรรม เท่านั้นเอง
แต่...คนมีธรรมะจริง เขานิ่ง เขาสงบเย็น และเป็นประโยชน์
เขาไม่ต้องใส่ชุดขาว พล่านไป พล่านมา 
เดินทางไขว่คว้าหาอะไรกันอีกแล้ว
สิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวงเมื่อไหร่ ก็จะเข้าใจว่า "พุทธะอยู่ในตน"
"ไม่มีธรรม นั่นแหละธรรม"
อาม่า#พระเชนเรซิก#

 สงบ เย็น และเป็นประโยชน์ 
"พุทธะอยู่ในตน"
ไม่มีธรรม นั่นคือธรรม


"จิตคือพุทธะ"
โดย หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
ผมไปพบบทความที่น่าสนใจ  เห็นว่าเป็นประโยชน์กับผู้ปฏิบัติธรรม
จิตหนึ่งคือพุทธะ
"จิตคือพุทธะ"
พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจาก จิตหนึ่ง แล้วมิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย

จิตหนึ่ ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียวหรือสีเหลือง และไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งทั้งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือของเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็ก ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัดเหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น

จิตหนึ่ง นี้เป็นสิ่งซึ่งเราเห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้เป็นเหมือนกับความว่างอันปราศจากขอบทุกๆ ด้านซึ่งไม่อาจจะหยั่งหรือวัดได้

จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็น พุทธ ไม่มีความแตกต่างระหว่าง พุทธ กับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้นเขาจึงแสวงหา พุทธภาวะ จากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นเองทำให้เขาพลาดจาก พุทธภาวะ การทำเช่นนั้นเท่ากับการใช้สิ่งซึ่งเป็น พุทธ ให้เที่ยวแสวงหา พุทธ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต

แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปป์หนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถบรรลุถึงพุทธภาวะได้เลย เขาไม่รู้ว่าถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวาย เพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธ ก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้คือ พุทธ นั่นเอง และ พุทธ ก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง สิ่งๆ นี้เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่

สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหกก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้น 
จงคิดดูเถิดเมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกๆ กรณีอยู่แล้ว คือเป็นจิตหนึ่ง หรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พุทธ ทั้งหลายอยู่แล้ว 
เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่โอกาสอำนวยให้ทำ ก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้วอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน

ถ้าเรายังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้นคือ พุทธ ก็ดี และถ้าเรายังยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆ อยู่ก็ดี และต่อวิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่างๆ ก็ดี แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องรอยกันกับทางๆ โน้นเสียเลย

จิตหนึ่ง นั่นแหละ คือ พุทธ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิ เช่นเดียวกับความว่าง คือ มันไม่มีรูปร่าง หรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดฝันไปต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก พุทธ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่ พุทธ ของความยึดมั่นถือมั่น

การปฏิบัติปารมิตาทั้งหก และการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะเป็น พุทธ สักองค์หนึ่งนั้นเป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าทีละขั้นๆ 
แต่ พุทธ ซึ่งมีตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้นหาใช่ พุทธ ที่บรรลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และ ลืมตา ต่อ จิตหนึ่ง นั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละ คือ พุทธที่แท้จริง พุทธ และสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย

จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมให้ความสว่างทั่วทั้งพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้นมันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อพระอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิต ของ พุทธ และของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น

ถ้าเรามองดู พุทธ ว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ ผ่องใส และรู้แจ้งก็ดี หรือมองสัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ อันเป็นผลเกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น จะกันเราไว้เสียจากความรู้อันสูงสุดถึงแม้ว่าเราจะได้ปฏิบัติมาตลอดกี่กัปป์นับไม่ถ้วน ประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้นและไม่มีสิ่งอื่นใดแม้แต่อนุภาคเดียว ที่จะอิงอาศัยได้ เพราะจิตนั้นเองคือ พุทธะ

เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่องทางโน้น ถ้าไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิตนี้ พวกเราจะปิดบังจิตนั้นเสียด้วยความคิดปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะเที่ยวแสวงหาพุทธนอกตัวเราเอง พวกเรายังยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลายต่อการปฏิบัติเมาบุญต่างๆ และสิ่งอื่นๆ ทำนองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นอันตราย และไม่ใช่หนทางอันนำไปสู่ความรู้อันสูงสุดที่กล่าวนั้นแต่อย่างใดเลย

เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกันไม้หรือก้อนหิน คือ ภายในนั้นปราศจากความเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขต หรือสิ่งกีดขวางใดๆ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรมหรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปไหนได้เลย

จิตนี้ ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง

หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย จิตนี่แหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่กล่าวว่าจิตนั้น มิใช่จิตดังนี้ นั่นแหละ ย่อมหมายถึงสิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริงสิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ผูกตัดขาดไปแล้ว และพฤติของจิต ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว

จิตนี้คือ พุทธโยนิ อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดกระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติ อันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่มีแตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวง ทุกชนิดไม่มีหยุด

ธรรมชาติแห่งความเป็น พุทธ ดั้งเดิมของเรานั้นโดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตน แม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง

จงเข้าไปสู่สิ่งๆ นี้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้แหละคือ สิ่งๆ นั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีกแล้ว

จิต คือ พุทธ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย เป็นที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ต่ำต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอยู่ด้วยอีก และแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งมันย่อมมีส่วนแห่งความเป็น พุทธ เท่ากันหมดและทุกสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับ พุทธ อยู่ตลอดเวลา
ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเราเองได้สำเร็จ แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนี้เท่านั้น ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นที่จะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย

จิตของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิต แม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหน แม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือกำเนิด ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย

ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร อยู่นั่นเอง ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น

มูลธาตุทั้ง ๕ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น เป็นของว่างเปล่า และมูลธาตุทั้ง ๔ ของรูปกายนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา จิต จริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอาการมาหรืออาการไป ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย แต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด

จิตของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวเราเองเท่านั้น ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเขิง และเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น เราจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้น นี่แหละคือหลักธรรมที่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้

สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา

ปรัชญา คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิม ซึ่งปราศจากรูป ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ คือจิตและวัตถุเป็นสิ่งๆ เดียวกัน นั่นแหละ จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง และลึกลับเหนือคำพูด และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง

สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมา ในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตัตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกความว่างนั้นได้อย่างไร

โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด

สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วนรวมแล้วมี รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือ ความว่างของจักรวาล เข้าคู่กันเป็น เหตุเกิด ตัวอวิชชา เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และ เกิดกาลเวลาขึ้น คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้

เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิตไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้

จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป นี้ เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม

ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิต

ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ(เกิด) การเปลี่ยนแปลง บางอย่างเรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต

เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็น เหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม

สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น

เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลง มี กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็น เหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอม ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิด ทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ

ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจาก นิพพาน เท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย

ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทำงานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ

เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ) ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย

ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดอย่างบริบูรณ์ดังพระประสงค์แล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงเสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือสิ้นทั้งกิเลสและชีวิต) เป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพุทธองค์ก็คือ ลำดับแรก ก็เจริญฌานดิ่งสนิทเข้าไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปดับลึกสุดอยู่เหนือ อรูปฌาน

ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังไม่ได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อย่างใด ยังเพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ได้ทรงพากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอย่างไว้ เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่าสิ่งอันเกิดจากที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา (เป็น) ผู้ที่มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่า มันเป็นทุกข์

นี่แหละ กระบวนการกระทำจิตตน ให้ถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นยอดแห่งศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผย แจ้งออกสู่สัตว์โลกให้พึงปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่สภาวะต้น คือ ปฐมฌาน แล้วจึงได้ตัดสินพระทัยสุดท้าย เสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์แห่งชีวิต และร่างกายนั้น เพราะต้องดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นแรกเสียก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น

พระองค์เริ่มดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที อันจะส่งผลให้ก่อ วิภวตัณหา ได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงได้เลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาน แล้วจึงดับ สัญญาขันธ์ เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาน เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนเข้าสู่ จตุตถฌาน คงมีแต่ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแห่งชีวิต นั้นแล คือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ

เมื่อพระองค์ดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว แล้วก็มาดับ เวทนาขันธ์ อันเป็น จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาน พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ สุดท้ายจริงๆ ของพระองค์เสียลงเพียงนั้น

นี่ พระองค์เข้าสู่นิพพานอย่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนดอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือ พระองค์ ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดที่มาครอบงำอำพราง ให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์

เมื่อ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแท้ๆ จริงๆ ได้ถูกทำลายลงอย่างสนิท จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดสิ้นแล้วซึ่งสังขารธรรม และหมดเชื้อ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ทั้งปวงใดๆ ในพระองค์ท่าน ไม่มีเหลือ คงทิ้งแต่ รูปขันธ์ อันจะมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ เพราะรูปไม่ใช่ชีวิตหากสิ้นนามเสียแล้ว ก็คือแท่ง คือก้อนวัตถุหนึ่ง เท่านั้นเอง

นั่นแล คือ ลำดับฌาน ที่พระอนุรุทธเถระเจ้าได้นำฌานจิตเข้าไปดู เป็นวิธีการดับโดยแท้ ดับโดยจริงโดยพระองค์เป็นผู้ดับเองเสียด้วย


เห็นทุกข์ รู้จักทุกข์ ก็จะไม่ทุกข์

ในภาพอาจจะมี 1 คน

เห็นทุกข์ รู้จักทุกข์ ก็จะไม่ทุกข์!!!
แท้ที่จริง ทุกข์นั้น เกิดจากความคิดเราสถานเดียว

ความคิดสร้างจักรวาล สร้างนรกสวรรค์ และสร้างทุกสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้ ไอน์สไตน์จึงให้คุณค่ากับความคิดมาก ถึงกับกล่าวว่า

"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"

มนุษย์ทุกคนในโลกคิดเป็น
แต่ใช้ความคิด....ไม่เป็น !!!

ความคิดมนุษย์มาจากความเคยชิน นิสัย และสังคมจากสิ่งใกล้ตัว เป็นตัวกำหนด

มนุษย์จึงเหมือนน้ำ
อยู่ในขวด หรือภาชนะใด ก็จะเป็นรูปทรงของภาชนะนั้น

หากมนุษย์เรียนรู้วิธีคิด คิดเป็น คิดอย่างเข้าใจ มนุษย์ผู้นั้น ก็จะไม่ทุกข์

"ความสุข ความทุกข์ ล้วนเริ่มต้นจากความคิด"

คิดถึง เป็นห่วง สงสาร โกรธ เกลียด น้อยอกน้อยใจ

สารพัดสารพันจะสรรสร้าง

รู้เท่าทันความคิด รู้จักคิด คิดเป็น
มนุษย์ผู้นั้น ก็จะมีโลกใบใหม่ ที่ไม่ต้องเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงด้วยอารมณ์และความคิด

ดังคำกล่าวที่ว่า....

จงระวังความคิด เพราะมันจะกลายเป็นความประพฤติ

จงระวังความประพฤติ เพราะมันจะกลายเป็นความเคยชิน

จงระวังความเคยชิน เพราะมันจะกลายเป็นนิสัย

##และนิสัยนั้นแล ก็กำหนดชะตากรรมเธอ ชั่วชีวิต#


วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ทำไม"ความอยากรวย"จึงเป็นสิ่งผิดล่ะ

ในภาพอาจจะมี ดอกไม้

ทำไม"ความอยากรวย"จึงเป็นสิ่งผิดล่ะ
  • ทำไมคนจำนวนมากคิดว่าการเสียสละและ จน เป็นฮีโร่ ไม่มีอะไรผิด ถ้าคุณอยากรวย เพราะถ้าคุณรวย
    • 1.คุณไม่ต้องเป็นภาระของสังคม แต่กลายเป็นคนที่ช่วยสังคมได้ เช่น จ่ายภาษีได้มากขึ้น เสียสละการกุศลได้มากขึ้น สร้างงานให้คนอื่นได้
    • 2.คุณจะเพิ่มอิทธิพล ในการเปลี่ยนโลกได้
    • 3.เงิน จะให้อิสรภาพกับคุณ อิสระที่จะ....เลือกงานที่อยากทำได้โดยไม่ต้องทำงานที่ไม่ชอบ สร้างงาน สร้างโปรเจ็กต์ขึ้นมาเองได้โดยไม่ต้องขอเงินใคร ทำงานเวลาไหนก็ได้ทำงานเท่าไหร่ก็ได้ตามความเหมาะสมของตนเองและครอบครัว อยู่ที่ไหนก็ได้ ตามความต้องการ

  • "ถ้าความร่ำรวยเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมาย" 
  • ใส่มันลงไป 1 ข้อในความฝันคุณเถอะ
  • ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า....
    • จงรวยเพราะทำสิ่งที่รัก
    • จงรวยเพราะทำงานสุจริต
    • จงรวยแล้วรับใช้ แบ่งปันสังคม
    • จงรวย!!! เพื่อใช้ความรวยต่อยอด
  • ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกื้อกูลโลก
  • มีคนมากมาย ที่แค่คิดอยากจะรวย ก็รู้สึกผิด
  • ทั้งๆที่ มันมีหลากหลายมิติที่จะมอง

จุดมุ่งหมายของกลุ่มโพธิญาน# มี3ข้อคือ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม

1.ยกระดับจิตวิญญานตนเอง ให้เข้าสู่จิตวิญญานระดับพระพุทธเจ้าคือ กลับสู่ความเป็นพุทธะ
2.ยกระดับจิตวิญญานเพื่อนมนุษย์ ด้วยพรหมวิหาร4ให้เป็นอนันตประทีป ได้จุดต่อๆกันไป
3.ช่วยขนรื้อภพภูมิ ตัดอบายให้แก่เวไนย ทั้งภาคหยาบ ภาคทิพย์
(เนื่องด้วยเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน เราต้องเคลียร์พลังเก่าทั้งหมด)
ขอลูกๆอาม่าทุกคน จงตั้งมั่นในความดี และเดินไปในเส้นทาง ที่พระพุทธะทุกพระองค์ต้องข้ามผ่าน
รักลูกทุกคน
อาม่า#พระเชนเรซิก#

เปิดพลังแห่ง ความสุข.............

การให้เกียรติสิ่งรอบตัวถือเป็นการเปิดพลังแห่งทัศนคติใหม่ และยังเสริมการมองเห็นทัศนวิสัย ให้ก้าวสู่โลกที่มีคุณค่า และนอกจากนี้ยังทำให้คุณตื่นขึ้นมาเห็นความจริงรอบตัว ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็น และรับรู้คุณค่าของสิ่งรอบตัวเรา หรือสังคมของเรา แล้วเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ควรรัก รักในสิ่งที่ให้ความรู้สึกดีๆที่ตอบแทนมาอย่างมีคุณค่าจริงๆ มันจะช่วยฉุดดึงให้คุณหลุดออกจาก อดีตที่เจ็บช้ำหรือแม้แต่ความยึดติดใดๆก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งรอบตัวบางอย่างหรือหลายๆอย่างนั้น คุณอาจไม่เคยแยแส แม้แต่ก่อนที่จะพบเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ
คำว่า “การให้เกียรติ” คำๆนี้คือวิถีคือครรลองที่สังคมของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงในทางโลก ย่อมที่จะพัวพันกับภาวะของการให้เกียรติอยู่กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้เกียรติต่อ บุคคล ให้เกียรติต่อสัญลักษณ์ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ ให้เกียรติต่อสิ่งที่ยึดถือ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีบุญคุณ ในชีวิตเราและชีวิตท่านวันนี้คุณให้เกียรติคนที่คุณ "เกลียดชัง" พวกเขาแล้วหรือยัง.......

" โลกนี้จะร่มเป็นสุข อยากให้โลกนี้ดีงาม ให้เริ่มต้นที่ ใจ ตนเองเป็นอันดับแรก "

Glitter Photos

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์