วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

"สักแต่ว่า...ทุกปรากฏการณ์" ไม่ต้องไปกำจัดอะไร เพียงแค่อย่าสนใจมัน

ในภาพอาจจะมี เมฆ, ท้องฟ้า และ สถานที่กลางแจ้ง

ไม่ต้องไปกำจัดอะไร 
เพียงแค่อย่าสนใจมัน!!
ไม่ยากอะไรเลยสักนิด 
เรียบง่ายและธรรมดา
เหมือนมองเห็นเก้าอี้ ปกติก็ไม่สนใจ 
ไม่ทำอะไรกับมันอยู่แล้ว
ทำแบบนั้นกับอารมณ์ของท่าน
ทิ้งระยะห่างเล็กน้อย แล้วมองดูความคิดที่ปรากฏ
นี่คือ...ความโกรธ
นี่คือ...ความเศร้า ความเจ็บปวด
นี่คือ..ความกลัดกลุ้มกังวล ความลังเลสงสัย
...อื่นๆมากมาย.....

ฉันไม่ใส่ใจ ฉันไม่ทำอะไร 
ฉันไม่สนับสนุนหรือต่อต้านมัน
แล้วพวกมัน จะหายไป
เทคนิคง่ายๆนี้ 
จะทำให้ท่านพบความบริสุทธิ์แห่งจิตตน
การมองโลกของท่านจะเปลี่ยนไป

ไม่มีอะไรอยากถูกขังไว้ห้องใต้ดินหรอก 
พวกความคิดเหล่านั้นเช่นกัน
พวกมันอยากออกมาดูโลก
ถ้าท่านปล่อยให้มันได้ออกมา 
มันจะไม่ต่อต้าน หรือโผล่มาในความฝันอีก
เมื่อมันทักทายท่านอย่างมิตรแล้ว
แล้วมัน......จะจากไป

ไม่ช้า....
จิตเดิมแท้ท่านจะปรากฎอย่างว่างเปล่า!!!

ค้นหาสาเหตุ...และบำบัดสำเร็จ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ดอกไม้

  • วันนี้...สะกดจิตตนเอง เพื่อเข้าไปสู่แฟ้มแห่งจิตใต้สำนึกไปดูที่มาแห่งมหาปนิธาน
  • และได้ร่วมสะกดจิต ย้อนอดีตเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นลมชักมาแต่กำเนิด
  • ย้อนไปหลายชาติภพ จนมาจบ ที่ภพชาติที่เป็นแม่ค้าขายปลาดุก
  • เขามองเห็นตนเองตอนนั้นอายุ40+ปี ทุบหัวปลาให้ลูกค้า
  • จนเป็นเหตุเป็นผล ให้เจ็บป่วยในภพชาติปัจจุบัน
  • อาม่าได้น้อมพระพุทธเจ้าแห่งความกรุณามาเป็นประธานอยู่ในจิตใต้สำนึกนั้น และขอขมากรรม พร้อมส่งบุญกุศล จนวิบากกรรมทั้งปวงได้คลาย อโหสิกรรม
  • ทุกการเจ็บไข้ได้ป่วย และทุกปรากฏการณ์ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ สร้างสิ่งใดไว้ ล้วนเป็นพลังงาน ที่รอส่งผลสะท้อนกลับทั้งสิ้น
  • กลับมาจากทิเบต อาม่าจะ ถ่ายทอด และแนะแนวทางให้กับผู้มีวาสนากับอาม่าในโพธิจิต ได้ฉุดช่วยเวไนยต่อไป
  • อาม่า...พระเชนเรซิก

ค้นหาสาเหตุ...และบำบัดสำเร็จ

คำว่าว่าง มิได้หมายความว่า สรรพสิ่ง ไม่มีอย่างสิ้นเชิง

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

คำว่าว่าง มิได้หมายความว่า สรรพสิ่ง ไม่มีอย่างสิ้นเชิง
แต่เพราะสรรพสิ่งมีอยู่
หากแต่อยู่ด้วย เนื่องด้วย
หลายๆปัจจัยมาประกอบกัน
มันจึงดำรงอยู่ได้ด้วยการอิงอาศัยปัจจัยอื่นๆ
มันจึงขาดความเป็นเอกเทศ
มันจึงได้ขึ้นชื่อว่า"ว่าง"เพราะไม่มีการดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง
เช่น ต้นไม้ดำรงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีแสงแดดและ น้ำ เราจึงนับว่าต้นไม้คือ"ความว่าง"
หรือ แม้กายมนุษย์อุบัติและดำรงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีพ่อแม่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และปัจจัยต่างๆ เราจึงนับว่ากายนี้เป็น"ความว่าง"
"จิต" ก็เกิดดับตลอดเวลา ด้วยอาศัยการกระทบทางอายตนะ6 แล้วตัดสินให้ค่า เรียกว่าต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่งเพื่อให้เกิดการมีอยู่ของจิต
เราจึงนับว่าจิตเป็นความว่าง
ความว่าง จึงหมายถึงการอุบัติเกิดขึ้นโดยการอิงอาศัย หรือ ปัจยาการ
เพราะมันอยู่ด้วยตนเองโดดๆไม่ได้ จึงกล่าวว่าเป็นตัวตนไม่ได้ มีแก่นสารไม่ได้ เราจึงนับว่ามันคือ"ความว่าง"
ดังนั้น สิ่งใดก็ตาม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จึงเป็นความว่างเปล่าหมดในแง่ของการเป็นตัวตน
เมื่อเป็นเช่นนี้
ถ้าเพียงเธอเข้าใจ
ถึงจะมีชีวิต ครอบครัว หรือมีอะไรๆมากมาย
นิพพานก็เป็นของเธอ
แต่ถ้าเธอไม่เข้าใจ ถึงเธอจะไม่มีอะไรเลย
ถึงเธอจะออกบวชสละเรือน เข้าถ้ำร้อยปี
เธอก็ไม่พบเจอนิพพาน
#อาม่า#พระเชนเรซิก

วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ข้าจะไม่มา ไม่ไป ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หมองมัว ด้วยความเป็นนิรันดร์แห่งพระโพธิญาน และนามของข้าคือ..."พระเชนเรซิก"



ในภาพอาจจะมี 1 คน

ข้าคือจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่สว่างไสว
และศักดิ์สิทธิ์
ข้าคือผู้ที่ทรงพลังอำนาจอย่างไร้ขีดจำกัด
ข้าคือผู้ที่คู่ควรกับสิ่งดีงามสูงสุดของจักรวาลแห่งนี้
ข้าคือผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
และแสงสว่างแห่งความเมตตากรุณา
ข้าคือผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับความมั่งคั่ง
และความอุดมสมบูรณ์อันไร้ขีดจำกัด
ของจักรวาลแห่งนี้
ข้าขอรองรับความทุกข์ระทมทั้งมวลของสรรพชีวิต
ข้าขอส่งมอบความรักอันไม่มีประมาณจากบารมี
และการบำเพ็ญของข้าไปโอบอุ้มคุ้มครองทุกสรรพชีวิต
ข้าจะไม่มา ไม่ไป ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หมองมัว 
ด้วยความเป็นนิรันดร์แห่งพระโพธิญาน
และนามของข้าคือ..."พระเชนเรซิก"
ในภาพอาจจะมี 1 คน

เส้นทางนี้จะมีแต่คำว่าให้เท่านั้น
คำว่าประกาศพรหมจรรย์นั้น


มิใช่มีลาภ สักการะ ชื่อเสียงเป็นอานิสงค์

มิใช่มีความสมบูรณ์ของศีลเป็นอานิสงค์

มิใช่มีความสมบูรณ์ของสมาธิเป็นอานิสงค์

มิใช่มีญานทัศนะอันวิจิตรเป็นอานิสงค์

หากแต่มี

"ความหลุดพ้นทางใจ"
อันไม่กลับมากำเริบอีก

ศีลอันเอกอุ 
สมาธิอันเอกอุ 
ญานทัศนะอันเอกอุ 
ก็ยังข้ามพ้นผ่านตัวตนของตนเองไม่ได้

นิพพานคือความว่าง 
แต่มิใช่พุทธะที่ว่างอย่างก้อนหิน

นิพพานท่ามกลางการโปรดเวไนยในสังสารวัฏ
นั้นแหละลูกคือ
"ที่สุดแห่งพรหมจรรย์"

การมีวาสนา ต่อเวไนยในโลกธาตุ 
มิใช่ผู้ใดจะทำได้ทุกคน หากไร้บารมีแห่งโพธิจิต

จงเคารพพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ด้วยคิดว่าทุกพระองค์มีพระคุณเสมอเท่ากันหมด

จงหมุนธรรมจักรด้วยการปฎิบัติสัมมาธรรม
ที่ตน เพื่อเผยแพร่เข้าสู่ใจผู้อื่น

จงกระทำตนเองให้มีกุศล
สอนผู้อื่นให้ทำกุศล
โมทนากับผู้ทำกุศล
สรรญเสริญในกุศลทั้งปวง

และประกาศพรหมจรรย์ 
เพื่อฉุดนำลูกหลานกลับบ้านของเรา

บ้านที่เป็นแสงสว่างอันไม่มีประมาณ

พระโพธิญาน 
คือแสงสว่างแห่งรักอันเป็นอนันตกาล

โอม มณี ปัทเม ฮุม

#อาม่า#พระเชนเรซิก

วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พระศรีอารยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม

พระศรีอารยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์
  • คติของฝ่ายมหายานกล่าวว่า มีพระโพธิสัตต์พระองค์หนึ่งชื่อ "พระวิศวปาณีโพธิสัตต์" ซึ่งขณะนี้ทรงบำเพ็ญญาณอยู่กับพระอาทิพุทธ (พระพุทธเจ้าองค์ปฐม) จนกว่ากัลป์ที่ ๕ พระศรีอารยเมตไตรยมาตรัสเป็นพระมานุษิพุทธเมื่อใด เมื่อนั้นพระวิศวปาณีจะสร้างโลกใหม่
  • ทางฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายานต่างก็เชื่อว่า พระศรีอารยเมตไตรย จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล เพราะในกัลป์นี้นั้น มีผู้มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ๔ พระองค์ คือ
    • พระพุทธกกุสันโธ สัตว์คู่บารมีคือ ไก่ 
    • พระพุทธโกนาคมโน สัตว์คู่บารมีคือ นาค 
    • พระพุทธกัสสโป สัตว์คู่บารมีคือ เต่า 
    • พระพุทธสมณโคดม ( ศากยมุนี ) สัตว์คู่บารมีคือ โค
    • พระศรีอารยเมตไตรย สัตว์คู่บารมีคือ สิงห์
  • พระโพธิสัตต์องค์นี้ มีรูปประดิษฐานบูชาตามอารามทั่วไป เป็นรูปพระสงฆ์จีนครองจีวรแบบจีน ปล่อยส่วนที่ท้องให้เป็นท้องพลุ้ยใหญ่ รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ใบหน้าหัวเราะร่าเริงมาก และมีถุงย่ามขนาดใหญ่อยู่ที่มือข้างขวาของท่าน ข้างซ้ายถือลูกประคำ
  • ในบางแห่ง จะเห็นว่ามีรูปเด็กปีนป่ายขึ้นไปบนร่างท่าน ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าท่านเป็นพระที่ใจดี ไม่มีวิตกกังวลและห่วงใย ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร เป็นที่เคารพรักของพวกเด็กมาก รูปพระโพธิสัตว์องค์นี้ ความจริงเป็นรูปปั้นของพระ " หลวงพ่อถุงย่าม " เป็นพระภิกษุในยุค ๕ ราชวงค์
  • ท่านเป็นชาวเมืองฮ่องฮัว มณฑลเม่งจิว เจ้าของฉายาว่า " เข่ยชื้อ " หรือ " เชียงเทงจื้อ " โดยปกติท่านมีลักษณะอาการแสดงความเบิกบานเป็นสุขตลอดเวลา ไปไหนมาไหนจะมีย่ามใหญ่ติดตัวไปด้วย จึงได้รับฉายาว่า " หลวงพ่อถุงย่ามใหญ่ " ท่านพูดอะไรมักจะเป็นอรรถ มีความหมายในทางนิกายเซ็น (ฌาน)
  • ในปีที่ ๓ แห่งรัชกาลเจงเม้ง (พ.ศ. ๑๔๖๐) ท่านได้นั่งเข้าสมาธิดับขันธ์ที่แท่นหิน วัดงักลิ้ม ก่อนดับได้เขียนคาถาไว้บทหนึ่งว่า ....
  • พระเมตไตรย คือ พระเมตไตรย 
  • แบ่งกายเป็นพันหมื่นโกฏิ 
  • ให้คนได้เห็นทุกเวลา แต่คนก็ไม่รู้จัก

จงสง่างามให้สมเป็น"นกอินทรี"ของอาม่า

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

  • ธรรมะสวัสดียามเช้า โอวาทธรรม"วันธรรมสวณะ"สำหรับลูกๆกลุ่มโพธิญานทุกคนวันนี้คือ
  • #ความสง่างามแห่งการพบปะกันของนกอินทรี#
  • เนื่องจากลูกๆอาม่านั้น มีหลายๆกลุ่ม หลายจังหวัด แต่ทุกคนมีจุดศูนย์กลางสิ่งเดียวกัน
  • คือมีอาม่า เป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นย่า เป็นยาย ทางจิตวิญญาน
  • และมีพระสัมมาสัมโพธิญานที่ปฏิญานตน ดำเนินตามรอยบาทพระพุทธองค์เป็นที่สุด
  • ดังนั้น...ลูกๆทุกคนของอาม่าต้องเป็น"นกอินทรี"
  • มิใช่นกกระจอกหรือ"ไก่"
  • ที่แค่....บินข้ามผ่านตัวตน 
  • ข้ามผ่านอารมณ์อย่างหยาบๆของทางโลก"ยังไม่ได้"
  • เรายังต้องมีกิจกรรมร่วมกันอีกมาก ในผังงาน
  • ดังนั้น...หากนกอินทรีจะต้องพบปะกัน 
  • ก็จงพบกันอย่างสง่างาม ที่จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเอง และต่อประโยชน์โลก
  • และ...อาม่า ในฐานะ พ่อแม่ ย่ายาย เสาหลักแห่งกลุ่มโพธิญาน ได้กระทำตน วางตน และเป็น ตัวอย่างให้ลูกๆได้เห็นแล้วว่า
  • "อาม่าไม่เคย บินลงที่ต่ำ โฉบไปจิกตีกับใคร" หรือแม้คำเดียว ก็ไม่เคยสอดแทรกแสดงอารมณ์ใดๆในทุกธรรมะที่อบรมลูกๆ"
  • ***แม้จะมีกระแสต่อต้าน มาจากที่ใด 
  • สอนผู้อื่น...ตนเองต้องทำได้ด้วย 
  • นี่คือลักษณะของการเป็นครูบาอาจารย์
  • เป็นลูกอาม่าจริง "ต้องเป็นอินทรีที่สง่างาม"
  • รัก สามัคคีกันให้มากๆนะลูก
  • เรามาเพื่อปนิธาน เพื่อบำเพ็ญต่อยอด ตามสัจจะที่ให้แก่พระพุทธองค์
  • ไม่ได้มา เพื่อรัก เพื่อชัง เพื่อชอบ เพื่อเกลียด
  • ตกเป็นทาสอารมณ์ อยู่ในทวิภาวะ ธรรมคู่
  • ##การเดินย่ำไปย่ำมามันก็ ไม่พ้นเหยียบขี้ตนเอง คือขี้ไก่ ขี้นกกระจอก เพราะตัวเองไม่บินสักที#
  • มาเยือนโลกนี้...ต้องมาให้สง่างาม
  • และ จากไปให้งดงาม เช่นกัน!!!
  • คำว่า"โพธิญาน"เป็นคำที่สูง
  • การได้มาเข้ากลุ่มโพธิญาน คือการได้มีโอกาส สร้างบารมีใหญ่ร่วมกัน
  • ดังนั้น..จงสง่างามให้สมเป็น"นกอินทรี"ของอาม่า
  • รักลูกทุกคน
  • อาม่า#พระเชนเรซิก#

สมมุติแห่งธรรม

ในภาพอาจจะมี 6 คน, สถานที่ในร่ม
ในภาพอาจจะมี 2 คน, ฝูงชน, งานแต่งงาน และ สถานที่กลางแจ้ง
Zen กล่าวว่าธรรมชาติแห่งพุทธะ...คือความว่าง
เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนใดๆ
เป็นสิ่งที่มีในทุกแห่ง
เป็นบรมสันติที่รุ่งเรืองและเร้นลับ
และมันก็หมดกันเพียงแค่นั้น
Zenนั้น แจ้งในสุญญตาว่าเป็นเพียงความว่างหมด
ธรรมะก็ว่าง
คนเข้าถึงธรรมะก็ว่าง
ผลของการเข้าถึงธรรมะ ก็คือความว่าง
ว่างจากความโง่และความฉลาด
ข้ามผ่านการให้ค่าของสมอง
ไม่ต้องแสวงหาอะไร
ตัวนิพพานก็เป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะ
และอยู่ที่หน้าผากตลอดเวลา อยู่แล้ว
ผู้บรรลุเซน จะไม่รู้สึกว่าตัวเขาเป็นอะไร นอกจากกลับเข้าสู่จิตเดิมแท้ คือ"ความว่าง"ที่ปรากฏอยู่เป็นอนันตกาล
แม้ในพระบาลีของเถรวาทนั้น
พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสชัดเจนว่า
สุญญตาหรือความว่างนั่นแหละ คือ"พระนิพพาน"
แต่ด้วยการอนุโลมปวงสัตว์เข้าสู่พระโพธิญาน จึงต้องท่ามกลางความว่าง
โดยไม่ทิ้ง"สมมุติแห่งธรรม"
ในภาพอาจจะมี 9 คน, งานแต่งงาน และ สถานที่ในร่ม


วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

680...ปางแห่งพระอวโลกิเตศวร



680...ปางแห่งพระอวโลกิเตศวร
  • พระอวโลกิเตศวร ผู้มีมหาเมตตา มหาบารมี ต่อสรรพสัตว์ จึงนิรมิตกายได้หลายปาง ไม่ต่ำกว่า ๓๓ ปาง แต่ละปางจักมีลักษณะที่แตกต่าง และวิธีการสอนธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อยังประโยชน์สูงสุด เหมาะสมกับเวไนยสัตว์นั้น ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างมา สัก ๗ ปาง เชิญผู้อ่านได้ทัศนา.อย่างเบิกบาน

++++
ในภาพอาจจะมี 1 คน
พระอวโลกิเตศวรเอกตถตา 
@.. พระอวโลกิเตศวรเอกตถตา 
  • รูปลักษณะ : ทรงประทับบนก้อนเมฆ เหะเหินไปในนภาอากาศ
  • เอกตถตา ..มีจิตเป็นหนยึ่ง ไม่วอกแวก ย่อมมีอำนาจมาก เมื่อใดเราพบ“เมฆทะมึน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ลูกเห็บตก ลมฝนพายุใหญ่ ด้วยอำนาจแห่งการระลึกถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ สิ่งต่าง ๆ ในเวลานั้นย่อมจักสลายหายไป” ทรงมีปัญญา ทรงสามารถสั่งกำราบเมฆทะมึน ฟ้าร้อน ฟ้าฝ่า ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดจากมาร
ในภาพอาจจะมี 1 คน

@..พระไวฑูรยอวโลกิเตศวร 
  • รูปลักษณะ : ทรงมีกลีบดอกบัวเป็นพาหนะ ประทับยืนบนผิวน้ำ พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตรไวฑูรย( อัญมณีชนิดหนึ่งซึ่งมีสีฟ้า)
  • “ถ้าบุคคล ต้องโทษจองจำอยู่ในหลักประหาร เมื่อเขาระลึกถึงพระอวโลกิเตศวร อาวุธ(ของเพชฌฆาต) ก็จะแตกละเอียด 
  • ได้ พระสูตรชื่อว่า “อุตมราชาอวโลกิเตศวรสูตร”หรือ “อายุวัฒนะทศวจีอวโลกิเตศวรสูตร”
  • หากท่องพระสูตรนี้หนึ่งพันจบ ผู้ที่ตายแล้วยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

@..พระตาราอวโลกิเตศวร 
  • รูปลักษณะ : ทรงประทับยืนอยู่บนก้อนเมฆ ครองอาภรณ์สีขาวใหม่เอี่ยม ทรงมีพระวรกายที่งดงามมาก ในเวลาที่ทรงพนมมือ ในมือนั้นทรงถือดอกอุบล(บัวเขียว)
  • พระตารานั้นเป็นนิรมาณกายของพระอวโลกิเตศวร ทรงเพศเป็นหญิง
  • “ถ้าบุคคล ถูกหมู่ศัตรูที่มีอาวุธครบมือล้อมไว้ ด้วยจิตคิดจะเบียดเบียน เมื่อเขาระลึกถึงพระอวโลกิเตศวร ศัตรูก็จะเกิดจิตเมตตาขึ้นในขณะนั้น”
ในภาพอาจจะมี 1 คน
 อวโลกิเตศวรถือกิ่งหลิว 

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
@... อวโลกิเตศวรถือกิ่งหลิว 
  • รูปลักษณะ : พระหัตถ์ซ้ายทำอภัยมุทรา พระหัตถ์ขวาถือกิ่งหลิ่ว ประทับบนหินผา พระหัตถ์ที่ถือกิ่งหลิ่วเป็นไภษัชยธรรม (ธรรมอันเป็นยา) สามารถขจัดโรคทั้งหลายได้ 
  • “พระอวโลกิเตศวรทรงถือกิ่งหลิ่วและคนโทบริสุทธิ์ ทรงสาดน้ำคืออมฤตธรรมให้ปกแผ่ไปทั่วด้วยจิตมีประกอบด้วยความเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่ เพื่อดับทุกข์ดับภัยแก่สรรพสัตว์”
  • กวนอินปางนี้ถือความทรงพระคุณมากในเรื่องการรักษาโรค ใหโชคลาภ ช่วยให้ฝนตกและขจัดภัยต่าง ๆ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

@อวโลกิเตศวรขี่หัวมังกร(นาค) 
  • รูปลักษณะ : ทรงประทับบนหัวมังกร พระหัตถ์ขวาทรงถือกิ่งหลิ่ว พระหัตถ์ซ้ายจับผ้าข่าวที่ทรงครอง ทรงครองผ้าสีขาว
  • เพื่อแสดงธรรม แก่ผู้ที่สมควรโปรดด้วยรูปเทวดาและนาค”
  • นาคราชจัดเป็นส่วนหนึ่งของเดรัจฉานคติ เนื่องจากเป็นสัตว์ที่ยังหลง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

@ปูรณรัศมีอวโลกิเตศวร 
  • รูปลักษณะ : ทรงประทับอยู่บนหินผา พระวรการตั้งตรงปรากฏแสงสว่างที่โชติช่วงยิ่งนัก
  • “รัศมี”หมายถึงแสงสว่าง เพราะพระอวโลกิเตศวรทรงกอรปไปด้วยความรักความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ที่ปรากฏออกมาของแสงสว่างนั้น “รัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน สุริยปัญญา(ปัญญาเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์) ทำลายความมืดมนทั้งหลาย สามารถกำราบภัยจากลมและไฟ รัศมีปกแผ่ทั่วโลกธาตุ”


@.. อวโลกิเตศวรทรงจาริก 
  • รูปลักษณะ : ปางนี้ทรงประทับอยู่เหนือเมฆ เข่าข้างซ้ายตั้งตรง มือขวายันร่างกายไว้
  • การอบรมสั่งสอนธรรมของพระอวโลกิเตศวรนั้นแพร่กระจายออกไปอย่างไม่มีสิ่งใดที่มาขว้างกันได้ ทรงปรากฏขึ้นได้ทุกที่ทุกสถาน เป็นอิสระในทุกสิ่ง จึงถูกกล่าวขานว่า พระอวโลกิเตศวรทรงจาริก หมายถึงการเที่ยวไปอย่างเป็นอิสระประกอบด้วยความเพลิดเพลิน เพราะได้นิรมาณกายไปช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลาย
+++++++++++++++++++++++

ร่วมภารกิจขนรื้อภพภูมิ ณ แก่งกระจาน กับ กลุ่มโพธิญาน ท่านอาม่า"พระเชนเรชิก"

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ
26/8 ร่วมภารกิจขนรื้อภพภูมิ ณ แก่งกระจาน
กับ กลุ่มโพธิญาน ท่านอาม่า"พระเชนเรชิก"
Lamduan Puttarasu
ในภาพอาจจะมี สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ฝูงชน และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน, งานแต่งงาน และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, สะพาน, ต้นไม้, ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง, ธรรมชาติ และ น้ำ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม, สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ต้นไม้, งานแต่งงาน, เด็ก และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม, กำลังยืน, ต้นไม้, ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

ในภาพอาจจะมี 12 คน, คนที่ยิ้ม, สถานที่ในร่ม


ในภาพอาจจะมี 4 คน

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ




























"ผู้ใดเห็นปฎิจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

พระพุทธองค์ตรัสว่า.....
"ผู้ใดเห็นปฎิจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม 
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

ความหมายที่แท้จริงเป็นเช่นไร
จริงๆ แล้ว พุทธศาสนาเนี่ย ไปเรียนคัมภีร์หมื่นๆเล่ม 
ไปศึกษาทุกนิกาย มาจบอยู่ที่ตัวเดียว
คือ ตัดตัณหา และอุปทานเหมือนกันหมด..
แล้วเหตุใดเราจึงต้องมาอ้อมโลก
ในโลกนี้ มีความจริง 2 อย่าง คือ
  • 1 สมมุติสัจจะ ความจริงที่สมมุติ ผู้หญิง ผู้ชาย พ่อ แม่ ผัว เมีย พระ ฆราวาส เป็ด ไก่ เป็นต้นแต่เรายอมรับร่วมกัน และทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามสมมุตินั้นๆ(ตรงนี้สำคัญมาก)
  • 2.ปรมัตถ์สัจจะ คือ ความจริงสูงสุด คือจริงๆแล้ว ทุกอย่างเป็นแค่ การไหลเวียนของธรรมชาติ ตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย มีแต่ธาตุทั้ง 4 มาประชุม แล้วจิตเข้าไปยึดครอง แล้วเราก็สมมุติ ว่า มนุษย์ ว่าสัตว์แต่ที่น่าตกใจคือ แม้"จิต"ก็เป็นธรรมธาตุเช่นกัน มันจึงไม่มีอะไรเลย ในโลกใบนี้ นอกจากการปรุงแต่งของธรรมชาติ ที่อิงแอบ เคลื่อนไหล ตามกฎอิทัปปจยตา

ถ้าเข้าใจสมมุติสัจจะ และปรมัตถ์สัจจะ 
เราจะมองโลกลึกซึ้งขึ้น
แม้พระพุทธเจ้า กายเนื้อก็เป็นสิ่งสมมุติ 
เป็นธรรมชาติ เป็นธาตุ ตามธรรมชาติ 
พระองค์จึงไม่ให้ยึด แล้วตรัสว่า

"ผู้ใดเห็นปฎิจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม 
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"
นี่แหละ คือความหมายที่แท้จริง
เพราะพระองค์ก็คือธรรมชาติ
เห็นปฎิจสมุปบาท 
ก็คือเห็นการไหลเคลื่อนของสักแต่ว่า 
ธาตุ ตามธรรมชาตินี่แหละ
แล้วไม่ไปกอดรัดไปยึดถือ สำคัญมั่นหมาย เป็นตัวตนขึ้นมา
มันเป็นความจริงสูงสุด 
เป็นสิ่งที่ต้องเห็นให้จริง ให้ซึ้ง ให้จริง ให้ถึงที่สุด 
จนสลัดคืนธรรมชาติได้
ดังคำว่า 
"ตถาคต จะบังเกิดหรือไม่ ธรรมธาตุนั้นก็มีอยู่แล้ว"
นี่คือทั้งหมดที่เราอ้อมโลกกันอยู่
จงเป็นนกอินทรี ที่มองทะลุ ความจริง ทั้งสองด้าน
#อาม่า#พระเชนเรซิก


จริยาวัตรของพระโพธิสัตว์นั้น จึงเกินปัญญาที่ปุถุชนจะเข้าใจ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม

ไม่มีใครหยั่งถึงหัวใจและอุปายะพระโพธิสัตว์ได้หรอก
มหาสมุทรลึกล้ำทั้งปวงยังหยั่งได้
แต่ภูมิธรรมพระโพธิสัตว์นั้น
อันได้แก่ 
ฌานสมาบัติ ปรัชญา ธารณี ปฎิภาน 
ศาสตราคม อาถรรพณ์เวช
นานาศิลปวิทยา 
ที่พระโพธิสัตว์ต้องเจนจบ
เป็นฐานะ ที่ย่อมประมาณ หยั่งถึงมิได้เลย
พระโพธิสัตว์ มิหมายมั่นในอสังขตธรรม(นิพพาน)
และไม่สละ สังขตธรรม(สังสารวัฏ)จนหมด
ไม่ถือเอาสุญญตาธรรม เป็นธรรมอันบรรลุ
แม้พิจารณาธรรม 
อันปราศจากการมา การไป จนเจนจบ

แต่ยังมี กุศลธรรมเป็นที่หมาย 
เพราะยังต้องใช้อุปาทานธรรมในการโปรด
จริยาวัตรของพระโพธิสัตว์นั้น 
จึงเกินปัญญาที่ปุถุชนจะเข้าใจ ได้
ช่วงนี้...ภาคสนาม เข้มข้น 
ไม่ได้อัพเดทธรรมเฟสบุ้คเลย
อาม่า....พระเชนเรซิก

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน

ในภาพอาจจะมี 2 คน, คนที่ยิ้ม, ผู้คนกำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม
ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม


ภาพประวัติศาสตร์ อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ปรากฏ "ฉัพพรรณรังสีแห่งพุทธานุภาพ" ในการกล่าวโองการ ขนรื้อภพภูมิ

บารมีลูกๆร่วมกันสร้าง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, สถานที่กลางแจ้ง และ อาหาร
ภาพประวัติศาสตร์ 
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ปรากฏ
"ฉัพพรรณรังสีแห่งพุทธานุภาพ"
ในการกล่าวโองการ ขนรื้อภพภูมิ 
ของกลุ่มโพธิญาน
และกล่าวถอดถอนขอขมากรรม 
ณ วัดบางกุ้ง สมุทรสงคราม

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี 2 คน, สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี 4 คน, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, สถานที่กลางแจ้ง และ อาหาร

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ฝูงชน, ต้นไม้ และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี 2 คน, สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง







































วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ร่วมแจกมหาทานบารมีกับผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการและประธานมูลนิธิร่วมกุศล

ในภาพอาจจะมี 2 คน

ในภาพอาจจะมี 5 คน, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่ในร่ม

ในภาพอาจจะมี 4 คน, หมวก, สถานที่กลางแจ้ง และ ภาพระยะใกล้

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน

ในภาพอาจจะมี 11 คน, คนที่ยิ้ม

ในภาพอาจจะมี 3 คน, คนที่ยิ้ม, ผู้คนกำลังยืน และ ผู้คนกำลังนั่ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ฝูงชน

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังนั่ง, ฝูงชน และ สถานที่กลางแจ้ง



ในภาพอาจจะมี 4 คน, คนที่ยิ้ม, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่ในร่ม

ในภาพอาจจะมี 19 คน, คนที่ยิ้ม, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่ในร่ม





  • เนื่องด้วยกลุ่มโพธิญานเป็นเจ้าภาพใหญ่แจกเงิน 100,000 บาทและซุ้มโรงทาน แจกอาหารสด-อาหารแห้ง 6ซุ้ม
  • พลังแห่ง"โพธิจิต"นั้นยิ่งใหญ่เสมอ
  • งานนี้ จะสำเร็จไม่ได้ หากไม่มีพลังของโพธิจิตลูกๆอาม่า รวมพลังกัน
  • ขอสาธุการ และขอสัญญาด้วยจิตแห่งผู้บำเพ็ญ สัจจะบารมี อาม่าจะนำพาลูกๆสร้างบารมี เพื่อให้ลูกๆอาม่าเป็นอนันตประทีป ที่ส่องสว่างเป็นประโยชน์ทั้งตนเอง และเวไนยต่อไป
  • #จุดมุ่งหมายของกลุ่มโพธิญาน# มี3ข้อคือ
  • 1.ยกระดับจิตวิญญานตนเอง ให้เข้าสู่จิตวิญญานระดับพระพุทธเจ้าคือ กลับสู่ความเป็นพุทธะ
  • 2.ยกระดับจิตวิญญานเพื่อนมนุษย์ ด้วยพรหมวิหาร4ให้เป็นอนันตประทีป ได้จุดต่อๆกันไป
  • 3.ช่วยขนรื้อภพภูมิ ตัดอบายให้แก่เวไนย ทั้งภาคหยาบ ภาคทิพย์
  • (เนื่องด้วยเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน เราต้องเคลียร์พลังเก่าทั้งหมด)
  • ขอลูกๆอาม่าทุกคน จงตั้งมั่นในความดี และเดินไปในเส้นทาง ที่พระพุทธะทุกพระองค์ต้องข้ามผ่าน
  • รักลูกทุกคน
  • อาม่า#พระเชนเรซิก#
  • #ขอบคุณที่ตามหากันจนเจอ#
ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังนั่ง, ฝูงชน และ ตาราง


เปิดพลังแห่ง ความสุข.............

การให้เกียรติสิ่งรอบตัวถือเป็นการเปิดพลังแห่งทัศนคติใหม่ และยังเสริมการมองเห็นทัศนวิสัย ให้ก้าวสู่โลกที่มีคุณค่า และนอกจากนี้ยังทำให้คุณตื่นขึ้นมาเห็นความจริงรอบตัว ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็น และรับรู้คุณค่าของสิ่งรอบตัวเรา หรือสังคมของเรา แล้วเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ควรรัก รักในสิ่งที่ให้ความรู้สึกดีๆที่ตอบแทนมาอย่างมีคุณค่าจริงๆ มันจะช่วยฉุดดึงให้คุณหลุดออกจาก อดีตที่เจ็บช้ำหรือแม้แต่ความยึดติดใดๆก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งรอบตัวบางอย่างหรือหลายๆอย่างนั้น คุณอาจไม่เคยแยแส แม้แต่ก่อนที่จะพบเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ
คำว่า “การให้เกียรติ” คำๆนี้คือวิถีคือครรลองที่สังคมของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงในทางโลก ย่อมที่จะพัวพันกับภาวะของการให้เกียรติอยู่กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้เกียรติต่อ บุคคล ให้เกียรติต่อสัญลักษณ์ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ ให้เกียรติต่อสิ่งที่ยึดถือ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีบุญคุณ ในชีวิตเราและชีวิตท่านวันนี้คุณให้เกียรติคนที่คุณ "เกลียดชัง" พวกเขาแล้วหรือยัง.......

" โลกนี้จะร่มเป็นสุข อยากให้โลกนี้ดีงาม ให้เริ่มต้นที่ ใจ ตนเองเป็นอันดับแรก "

Glitter Photos

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์