No have map for my life!! because every things have answer itself ไม่มี แผนที่ใดๆสำหรับชีวิต ข้าพเจ้า ทุกๆสภาวะที่เกิด คือทุกขณะแห่งความเป็นตถตา "เช่นนั้นเอง" |
บุคคลบางประเภท อ่านตำราแล้วคิดว่าตนเองตีค คิดว่าตนเองเข้าถึงอนัตตาได แล้วยึดถือ ส่วนที่ตนเองเข้าใจได้ว่าเป "ความจริงอันเบ็ดเสร็จเด็ เขาไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า ความยึดมั่นในรูปแบบของความ เป็นสิ่งกีดขวางอันเร้นลับส เพราะ การไม่รู้จักตนเอง จึงต้องการพระพุทธเจ้า และสร้างข้อแม้แบบอย่างขึ้น สร้างพระพุทธเจ้าตามทัศนะตน ห่อหุ้มรูปแบบตนเอง ปฎิเสธและกอดรัด ด้วยตัณหาอุปาทาน กลายเป็นสัญญาความจำอันเหนี แต่เมื่อใดทีรู้จักตนเอง เขาย่อมรู้จักพระพุทธเจ้า เมื่อเขาเป็นความว่าง พระพุทธเจ้าของเขาก็ว่างด้ว ความยึดถือ ที่เที่ยวตระครุบโน่น ตระครุบนี่ ก็จะหายไปด้วย การแสวงหาก็สิ้นสุด เพราะไม่มี"ผู้แสวงหาที่พึ่ รู้จักตน รู้จักทั้งโลก ชนะตน ชนะทั้งโลก เมื่อใดที่รู้จักตนเอง ย่อมรู้ว่า...."ทั้งคน ทั้งจิต ทั้งนิพพาน ทั้งสังสารวัฏ" ล้วนเป็นความ
การปฎิบัติทั้งหมด เป็นไปเพื่อการสร้างกรรม เราอาจเรียกว่า เครื่องปิดบังพุทธะ
ครั้นเครื่องปิดบังจิต เกิดขึ้นแล้วโซ่แห่งความคิดปรุงแต่ง
โดยความเป็นเหตุ เป็นผล(ทวิภาวะ)จะร้อยรัดเธออย่างแน่นแฟ้น
มันจะลากตัวเธอกลับไป สู่ภาวะแห่งบุคคล ที่ไม่สามารถหลุดพ้นแต่ประการใดเลย
ธรรมะทั้งหลายที่คนอวดรู้ ว่าสามารถนำคนไปตรัสรู้ ไม่มีความจริง
พระพุทธวจนะ ทั้งหลายเป็นเพียงเครื่องล่อ จูงคนออกมาเสียจากความมืดบอด
(หมายถึงออกมาจากอวิชชาคือทำดีแต่ไม่หลุดพ้น)
มันเหมือนคนเลี้ยงเด็กที่เอาใบไม้สีเหลืองล่อและบอกว่าทองคำ เพื่อให้เด็กหยุดร้องไห้
สัมมาสัมโพธิญาน เป็นชื่อแห่งการเห็นแจ้งว่า"ไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ"
(หมายถึง ความยึดมั่นถือมั่น)
เมื่อเข้าใจความจริงอันนี้ ของหลอกเล่นอันนั้นจะมีประโยชน์อันใด
......ท่านฮวงโป เซน.......
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น