วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ธรรมะของอาม่า


หยั่งสภาวะอาม่าไม่ถึง 
ก็อย่าวิพากษ์วิจารณ์ 
ปรามาสให้เป็นกรรมหนักแก่ตนเลย
วันใด
ที่ท่านพ้นจากสภาพผู้แสวงหาธรรม
หรือผู้กำลังเดินทาง 
เข้าใจธรรมวิมุตติได้อย่างแท้จริง
ท่านจะเข้าใจธรรมะของอาม่า 
ที่ท่านปรามาสทั้งหมด

ที่วันนี้ 
ท่านยังมีทิฐิให้ค่า 
ปรามาส ตัดสินอาม่า 
เพราะท่านยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ 
ที่เดินเตาะแตะแสวงหาวิมุติธรรมไม่เจอ
หากแจ้งจริงวันใดแล้ว....
ถึงวันนั้น 
แม้อยากมากราบขอขมากรรมกับอาม่า 
ท่านก็ได้สร้างเหตุแล้วด้วยปรามาส 
การบิดเบือน และชักจูง ผู้คนออกจากธรรม 
ออกจากอริยมรรค
และมรรคผลนิพพาน
แม้สภาวะความเป็นโพธิสัตว์ 
ท่านก็หยั่งไม่ถึงอาม่าหรอก
อย่างมากท่านก็จินตนาการ 
ตามตำราหนังสือ สัญญา ที่เคยศึกษามา
รู้ไว้เถิดว่า....
อาม่าไม่เคยปรารถนาพุทธภูมิ 
อาม่าไม่ได้อยากเป็นพระพุทธเจ้า

ถ้าคิดว่า
อธิษฐานพุทธภูมิ 
มุ่งหวังเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
แล้วตนเองคือผู้บำเพ็ญโพธิสัตว์
บุคคลผู้นั้น
ไม่มีทางบรรลุปัญญาญาน
หรือธรรมสูงสุด
การตั้งเป้าหมายที่สภาวะใดสภาวะหนึ่ง
การช่วยเหลือสรรพสัตว์
อย่างบริสุทธิ์ใจจึงเป็นไปได้ยาก
เพราะหล่อเลี้ยงอัตตา
และทำเพื่อตนอย่างไม่รู้ตัว
พระโพธิสัตว์ที่แท้จริง 
มองพระพุทธเจ้า
เป็นเพียงชื่อ(นาม)
ที่เรียกภาวะของโอกาส
ที่ช่วยสรรพสัตว์ได้ไม่จำกัดแค่นั้นเอง
หากมีภาวะใด
ที่ช่วยเหลือสรรพสัตว์
ได้มากกว่าพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ก็ไม่ลังเล
ที่จะเลือกเส้นทางนั้น
เพราะคำนึงถึงสัตว์น้อยใหญ่ก่อนตนเอง
ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
คือต้องการ "มหาปัญญา" 
เพื่อความพ้นทุกข์ของสัตว์โลก
มิใช่ให้ตนเองดีงาม...สูงส่ง
ปัญญาที่หยั่งไม่ถึง มองไม่เห็นกิเลสอย่างละเอียดนี้
"บิดเบือนภาวะโพธิสัตว์ให้กลายเป็นเรื่องสนองตัณหาตนเอง"
ฉะนั้น 
การบำเพ็ญบารมีขนาดนี้ 
ย่อมเข้าใจได้ยาก
ยิ่งปุถุชนยิ่งไม่มีวันเข้าใจความลึกซึ้ง
ในปนิธานของพระโพธิสัตว์
ถ้าคิดว่าอธิษฐานพุทธภูมิ
แล้วบำเพ็ญ ล่ะก็...
นั่นมันอุดมคติโลกๆ ตามตำรา
แต่บารมีธรรมของพระโพธิสัตว์จริงๆ
คือความว่าง
(มหาสุญญตา)
โดยมุ่งเน้นการช่วยเหลือเป็นหลัก
"พระโพธิสัตว์ที่แท้จริงไม่ติดบ่วง แห่งพันธะสัญญาใดๆ"
แต่จะมุ่งสร้าง พลิกจิตดวงใหม่ 
ให้เวไนยในสังสารวัฎได้พ้นทุกข์ 
แค่นั้นเอง
ไม่มา ไม่ไป ไม่เพิ่ม ไม่ลด
ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หมองมัว
จุดเริ่มต้นกับจุดจบคือจุดเดียวกัน
ปราศจากร่องรอยใดๆ
ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
เพราะไม่เคยมี
การเดินทางมาตั้งแต่แรก

อาม่า(พระเชนเรซิก)



อย่าไปหยิบฉวย 

อาการธรรมชาติเหล่านั้น 

เป็นของเรา

แม้ สิ่งรอบตัว

การเกิด ก็คือสังขาร การปรุงแต่งแห่งธรรมชาติ
การตาย ก็คือสังขาร การปรุงแต่งแห่งธรรมชาติ

หน้าที่ของสังขารให้มันเป็นไปตามวิถี

จงมีปัญญา....มองให้เห็น
สังขารคือสิ่งปรุงแต่ง


จากเหตุ จากปัจจัย

ดังนั้น 

มองเห็นแล้วจึงไม่ควร

มีความประหลาดใจอะไรในส่วนนี้

ส่วนการทำประโยชน์ให้ดีที่สุด


เป็นหน้าที่ของคนที่มีชีวิตอยู่

คนที่มีชีวิตอยู่


ต้องบำเพ็ญหน้าที่ของตนสืบไป
ในความหมายที่ว่า...

จะให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ที่สุด
ส่วนตัว...ก็ได้รับประโยชน์
ส่วนในสังคมวงแคบ 


เช่น บ้านเมือง ประเทศ ก็ได้รับประโยชน์

ในวงกว้างที่สุด 

โลกก็ควรได้รับประโยชน์ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปิดพลังแห่ง ความสุข.............

การให้เกียรติสิ่งรอบตัวถือเป็นการเปิดพลังแห่งทัศนคติใหม่ และยังเสริมการมองเห็นทัศนวิสัย ให้ก้าวสู่โลกที่มีคุณค่า และนอกจากนี้ยังทำให้คุณตื่นขึ้นมาเห็นความจริงรอบตัว ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็น และรับรู้คุณค่าของสิ่งรอบตัวเรา หรือสังคมของเรา แล้วเรียนรู้ที่จะรักในสิ่งที่ควรรัก รักในสิ่งที่ให้ความรู้สึกดีๆที่ตอบแทนมาอย่างมีคุณค่าจริงๆ มันจะช่วยฉุดดึงให้คุณหลุดออกจาก อดีตที่เจ็บช้ำหรือแม้แต่ความยึดติดใดๆก็ตาม เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งรอบตัวบางอย่างหรือหลายๆอย่างนั้น คุณอาจไม่เคยแยแส แม้แต่ก่อนที่จะพบเรื่องเศร้าด้วยซ้ำ
คำว่า “การให้เกียรติ” คำๆนี้คือวิถีคือครรลองที่สังคมของมนุษย์ที่มีจิตใจสูงในทางโลก ย่อมที่จะพัวพันกับภาวะของการให้เกียรติอยู่กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการให้เกียรติต่อ บุคคล ให้เกียรติต่อสัญลักษณ์ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ ให้เกียรติต่อสิ่งที่ยึดถือ ให้เกียรติต่อสิ่งที่มีบุญคุณ ในชีวิตเราและชีวิตท่านวันนี้คุณให้เกียรติคนที่คุณ "เกลียดชัง" พวกเขาแล้วหรือยัง.......

" โลกนี้จะร่มเป็นสุข อยากให้โลกนี้ดีงาม ให้เริ่มต้นที่ ใจ ตนเองเป็นอันดับแรก "

Glitter Photos

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์

พระเชนเรซิก อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตว์